Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2540
"Amazing Thailand ต้องช่วยกันทั้งประเทศ"             
โดย ภัชราพร ช้างแก้ว มานิตา เข็มทอง สนิทวงศ์ เจริญรัตตะวงศ์
 

 
Charts & Figures

จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศในช่วง 10 ปี
เปรียบเทียบรายได้จากการท่องเที่ยวกับการส่งออกอื่นๆ ระหว่างปี 2538-2539


   
www resources

โฮมเพจ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

   
search resources

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ธรรมจักร เหลืองประเสริฐ
Tourism




ทันทีที่แบงก์ชาติประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ภาคธุรกิจที่ดูเหมือนจะเป็นความหวังสูงสุดของประเทศ คือภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว

ภาคส่งออกนั้นคงเริ่มกระเตื้องขึ้นเรื่อย ๆ และจะเห็นเด่นชัดอย่างเร็วก็ไตรมาส 4 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม ในแง่ปริมาณแล้วทั้งผู้ประกอบการและภาครัฐต่างยอมรับว่าคงเพิ่มขึ้นแน่นอน แต่ในแง่ของเม็ดเงินนั้นอาจจะไม่ดีอย่างที่คิดเพราะกลายเป็นว่าต้องขายของมากขึ้นในขณะที่รายได้อาจเท่าเดิม และถ้ารายใดเกิดมีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบที่สูง การลอยตัวค่าเงินก็ไม่ช่วยเท่าไร เพราะนั่นหมายถึงราคาวัตถุดิบจะสูงตามไปด้วย ซึ่งทางรัฐก็คงต้องหาทางช่วยต่อไป

ดังนั้นภาคธุรกิจท่องเที่ยวจึงกลายเป็นอัศวินม้าขาวที่จะเข้ามากอบกู้สถานการณ์ไปโดยปริยาย เพราะเป็นความหวังอันใกล้และสามารถทำให้เกิดผลได้เร็วที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจว่าพอจวนตัวจริง ๆ ทางการก็มีมติเร่งรัดจัดงาน Amazing Thailand ให้เร็วขึ้นจากกำหนดเดิมมาเริ่มในปีนี้เสียเลย แทนที่จะเป็นปี 2541-2542


Theme คือ : ฉลองในหลวงครบ 6 รอบ และเอเชี่ยนเกมส์

เดิมทีความหวังต่อการจัดโครงการ "Amazing Thailand 1998-1999" เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยอาศัย 2 โอกาสพิเศษ คือ การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ในปี 2541 และวโรกาสเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปี 2542

โดยมีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นแม่งาน ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์เปิดตัวโครงการทั้งในและต่างประเทศ ทั้งในแง่เชิญสื่อมวลชน จากต่างประเทศนับพันคนมาทัศนศึกษาในประเทศไทย หรือการจัดสร้างโฮมเพจผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่มี address ยาวเหยียด http://www.tourismthailand.org

รวมทั้งการขอความร่วมมือหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ให้มีการตกแต่งอาคารสถานที่เป็นพิเศษด้วยโลโกของงาน และสนับสนุนให้ผลิตสินค้าของที่ระลึกเพื่อขายแก่นักท่องเที่ยวด้วย

ผู้ว่า ททท. เสรี วังส์ไพจิตร เองช่วงนี้ก็มีอันต้องชีพจรลงเท้าเดินทางไปโรดโชว์โครงการตามพื้นที่เป้าหมายต่าง ๆ โดยตั้งค่าใช้จ่ายประมาณครั้งละ 5-6 ล้านบาท โดยรวมแล้วคาดว่าต้องใช้งบในการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ตลอดโครงการ ในปี 2541-2542 ประมาณทั้งสิ้น 5,669 ล้านบาท ส่วนในปี 2540 ได้งบประมาณมาบริหารแล้วทั้งสิ้น 2,528 ล้านบาท


เม็ดเงิน 1 ล้านล้านบาทตามแผนฯ 8

จากโครงการดังกล่าวคาดว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาประเทศไทยในช่วง 2 ปี ไม่ต่ำกว่า 17.18 ล้านคน และจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศประมาณ 1 ล้านล้านบาท โดยจะเป็นเงินที่มาจากนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศประมาณ 6 แสนล้านบาท

อีก 4 แสนล้านบาทเป็นเงินที่มาจากนักท่องเที่ยวชาวไทยเองจากโครงการ "ไทยเที่ยวไทย" ที่รณรงค์มาตั้งแต่ต้นปีซึ่งก็ได้ผลบ้างพอสมควร แต่ติดตรงที่เศรษฐกิจในประเทศไม่ดีนักคนจึงยังเที่ยวน้อยอยู่

ทั้งนี้ เป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ซึ่งกำหนดว่าในสิ้นปี 2540 จะให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 7.75 ล้านคน และสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ ไม่ต่ำกว่า 245,122 ล้านบาท ส่วนในปี 2541 จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 8.3 ล้านคน และสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศ ไม่ต่ำกว่า 281,890 ล้านบาท ส่วน ในปี 2542 จะมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 8.88 ล้านคน และนำรายได้เข้าประเทศไม่ต่ำกว่า 324,174 ล้านบาท

แผนดังกล่าวกำหนดเป้าหมายให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวไม่ต่ำกว่า 7% ต่อปี และสร้างรายได้เป็นเงินตราจากต่างประเทศให้ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี รวมทั้งสนับสนุนให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปี


ย้อนหลัง 10 ปีมีแต่โตขึ้น

จะสำเร็จตามแผนหรือไม่นั้นยังไม่มีใครรู้ในตอนนี้ แต่เมื่อต้นปีธุรกิจท่องเที่ยวค่อนข้างซบเซา โดยจากการเปิดเผยของประกิจ ชินอมรพงษ์ เลขาธิการสมาคมโรงแรมไทยถึงการส่งแบบสอบถามไปยังผู้ประกอบการโรงแรม 44 แห่ง ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อทำการสำรวจอัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ พบว่ามีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 61.11% เมื่อเทียบกับตัวเลขของปีก่อนที่มีจำนวน 62.44% ซึ่งลดลง 1.33% แสดงให้เห็นว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมต่าง ๆ อยู่ในเกณฑ์ที่พอใช้ได้ไม่ถึงกับตกต่ำ แต่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้รายงานระบุว่าน่าเป็นห่วงเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซัน และจากตัวเลขนักท่องเที่ยวในไตรมาสแรกของ ททท. เติบโตแค่ 4% เท่านั้น ซึ่งนับว่าต่ำกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ 7%

รายงานดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่รัฐบาลจะประกาศโครงการ "Amazing Thailand" จึงคาดว่าเหตุการณ์ไม่น่าจะเลวร้ายมากอย่างที่คิด และเมื่อพิจารณาจำนวนนักท่องเที่ยวย้อนหลังไปประมาณ 10 ปีจะเห็นว่าทั้งจำนวนและรายได้ที่เข้ามาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แตกต่างกันตรงอัตราการเพิ่มที่มากบ้างน้อยบ้างตามสถานการณ์และปัจจัยที่มากระทบในช่วงปีนั้น ๆ (ดูตารางจำนวนนักท่องเที่ยวในรอบ 10 ปี)

น่าสังเกตว่าในปี' 34 ที่มีการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวถึง 4% นั้นเป็นผลกระทบจากสงครามอ่าวเปอร์เชีย ซึ่งถือเป็นปัจจัยจากต่างประเทศ และถ้าย้อนขึ้นไปอักสัก 20 ปี ก็จะมีการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวอีกเพียงครั้งเดียวคือในปี '26 เนื่องจากเกิดการถดถอยของเศรษฐกิจทั่วโลก (World Economic Escession) ซึ่งเป็นสถานการณ์จากภายนอกเช่นกัน

ขณะเดียวกันในปี' 35 ที่เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงผิดจากปกติ ก็มีผลกระทบบ้างเช่นกัน เพราะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวโตเพียง 1% แต่พอถัดมาอีกในปี' 35 จะเห็นว่าตัวเลขการเติบโตกระโดดไปถึง 12% แสดงให้เห็นว่าขอให้สภาพบ้านเมืองสงบเท่านั้นเราก็ขายการท่องเที่ยวได้อยู่แล้ว และยิ่งมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมก็จะยิ่งช่วยได้อีกมาก

อย่างไรก็ตาม เฉลี่ย 10 ปีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงขึ้นปีละ 10.65% ในขณะที่รายได้เพิ่มขึ้นปีละ 33.85% โดยวัตถุประสงค์หลัก 87.49% ของผู้เข้าประเทศยังเป็นไปเพื่อการพักผ่อน แนวโน้มอย่างนี้เป็นสิ่งที่ดีสำหรับประเทศไทยและยังสามารถฝากความหวังไว้กับการท่องเที่ยวได้อย่างแน่นอน


โรงแรมไทย-เทศรับ ทำบ้างย่อมดีกว่าไม่ทำเลย

ผลจากโครงการนี้ ธุรกิจโรงแรมรับอานิสงส์ไปอย่างเต็ม ๆ เพราะจากตัวเลขนักท่องเที่ยวทั้งหมด 98.15% เข้าพักในโรงแรม ความเห็นจากกลุ่มโรงแรมคงเป็นภาพสะท้อนได้ดี

เฮอร์แนน วาเนกัส ผู้จัดการทั่วไป รร. โซลทวิน ทาวเวอร์ ให้ความเห็นว่า "เดิม ททท. ก็กระตุ้นการท่องเที่ยวเป็นระยะ ๆ อยู่แล้ว ซึ่งเราก็เข้าร่วมด้วยตลอด ก็หวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้นตามโครงการดังกล่าว"

ดูเหมือนวาเนกัสจะไม่ได้หวังผลจาก Amazing Thailand นัก เพียงแต่คาดว่าคงจะสร้างกระแสกระตุ้นการท่องเที่ยวให้คึกคักกว่าเดิม ส่วนทางโซลทวินเองนั้นก็พยายามจัดกิจกรรมเพื่อช่วยธุรกิจของตัวเองเป็นระยะอยู่แล้ว

ในปีนี้วาเนกัสบอกว่าโซลทวินจะไปจัดงาน Food Festival ที่ Hotel Jan III Sobieski ณ กรุงวอร์ซอร์ ประเทศโปแลนด์ในเดือนกันยายน เพื่อหวังดึงลูกค้าในแถบยุโรปตะวันออก คือ โปแลนด์ ฮังการี และสาธารณรัฐเชคและสโลวัค จากเดิมที่มีลูกค้าหลักอยู่ในแถบยุโรปตะวันตก คือ อิตาลี สเปน เยอรมนี และญี่ปุ่น

วาเนกัสคาดว่าในอีก 4-5 ปีข้างหน้า การท่องเที่ยวของไทยจะดีขึ้นมาก เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคต่าง ๆ อาทิ รถไฟฟ้ามหานคร ทางรถไฟยกระดับ ในกรุงเทพฯ จะเสร็จซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

จากมุมมองของนักการโรงแรมต่างชาติผู้หนึ่งที่ทำธุรกิจในกรุงเทพฯ เห็นว่า ความหวังยังไม่เด่นชัดนัก มาดูอีกมุมมองของนักการโรงแรมชาวไทยผู้หนึ่งซึ่งทำธุรกิจอยู่ในภูเก็ต ดินแดนที่ทำเลดีที่สุดในประเทศไทยบ้าง

ธรรมจักร เหลืองประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด รร. ภูเก็ตอเคเดียรีสอร์ท เขาฝากความหวังไว้กับ Amazing Thailand 40% ส่วนอีก 60% นั้นเป็นหน้าที่ของโรงแรมที่ต้องทำเอง

โดยภาพรวมของปี 2540 นั้นคงไม่ดีเท่าไร เพราะช่วงไตรมาส 2 (เม.ย.-มิ.ย.) ซึ่งเป็น ซัมเมอร์ซีซันจำนวนนักท่องเที่ยวไม่ดีเลย ธรรมจักรว่าเกิดจากเหตุผล 3 ประการ คู่แข่งมากขึ้น สภาพเศรษฐกิจโลกไม่ดี และเมืองไทยไม่มีอะไรใหม่ ๆ ดึงลูกค้า

แต่แนวโน้มในอนาคตคงดีขึ้น "เพราะการที่รัฐบาลประกาศเป็นปีท่องเที่ยวเป็นการกระตุ้นให้ทุกคนพยายามแก้ไขจุดบกพร่องต่าง ๆ ที่ผ่านมา และโดยเฉพาะการที่รัฐเทงบประมาณลงไปสำหรับการโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้นยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะยิ่งมากเท่าไรโอกาสที่จะได้รับกลับมาก็มีมากเช่นเดียวกัน"

ธรรมจักรกล่าวและเสริมในเรื่องของค่าเงินบาทว่า เป็นส่วนที่ดีที่คนต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยแล้วจะรู้สึกว่าจับจ่ายใช้เงินได้โดยไม่รู้สึกว่าเสียเปรียบ

"ผมไม่ได้บอกว่าประเทศไทยถูก ประเทศไทยไม่ได้ถูก เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นชาวต่างประเทศบางกลุ่ม เขาจะไม่มาเลย เพราะเขาไม่ชอบเที่ยวประเทศที่มันถูก ๆ เขาชอบเที่ยวที่มันศิวิไลซ์ ทันสมัย และสมเหตุสมผล ซึ่งประเทศไทยนี่ผมคิดว่าราคาคงเหมาะสมสะดวกกับการจับจ่ายใช้สอยและไม่ขูดรีดเกินไป"

ธรรมจักรเชื่อว่าความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นจากโครงการนี้ขึ้นกับผู้ประกอบการทุกคนต้องให้ความร่วมมือจัดกิจกรรมของตนเองขึ้นมาด้วย โดยในส่วนของภูเก็ตอเคเดียเองเนื่องจากปีนี้เป็นการดำเนินงานมาครบ 10 ปี บริษัทจึงจัดกิจกรรมพิเศษคืนกำไรให้กับลูกค้าคนไทยระหว่าง 10 ก.ย.-10 ต.ค. ส่วนในปีหน้านั้นยังไม่มีการสรุปว่าจะมีกิจกรรมใดบ้าง


ปัญหายังมีต้องรีบแก้ไข

เมื่อเปรียบเทียบรายได้จากการท่องเที่ยวกับการส่องออกอื่น ๆ ซึ่งเป็นการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในปี 2538 กับ 2539 พบว่าการท่องเที่ยวนำรายได้เข้าประเทศเป็นอันดับหนึ่งทั้งสองปี และทิ้งห่างอันดับสองและสามซึ่งเป็นชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และผลิตภัณฑ์สิ่งทอค่อนข้างมากทีเดียว (ดูตารางรายได้จากส่งออกประกอบ) ตัวเลขดังกล่าวจึงย้ำถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่าง ๆ หรือความสำเร็จในปี' 30 จาก "Visit Thailand Year" ซึ่งดูแล้วเหมือนว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จเช่นกัน แต่ข้อจำกัดในอดีตและปัจจุบันก็ต่างกันมาก

ในอดีตประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ที่มีวัฒนธรรมและธรรมชาติใกล้เคียงกับเรายังไม่เน้นเรื่องการท่องเที่ยวนัก แต่ขณะนี้กลับกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว จากสถิติในปี 38-39 พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวของไทยเป็นอันดับ 4 รองจาก ฮ่องกง มาเลเซีย และสิงคโปร์ ตามลำดับ

น่าสังเกตว่าสิงคโปร ์ไม่มีธรรมชาติอย่างในเมืองไทย แต่ความสะดวกในการคมนาคม และซื้อสินค้าเป็นสิ่งที่ทำให้เขานำเราไป ในขณะเดียวกันอินโดนีเซียที่อยู่ในอันดับ 5 นั้นก็ตามหลังเรามาติด ๆ และอาจแซงหน้าเราไปอีกก็ได้ถ้าเราไม่แก้ไขปัญหาซึ่งกลายเป็นข้อจำกัดของตัวเอง

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าประเทศไทยมีปัญหาต่าง ๆ ที่ต้องเร่งแก้ไขไม่ว่า จะเป็นเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว, ปัญหาเรื่องความเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยว (ททท. เพิ่งประกาศว่ามี 172 แห่ง), ปัญหาโสเภณีและการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ (ทั่วโลกให้ความสำคัญแต่ไทยเริ่มจะลืม ๆ แล้ว)

รวมทั้งปัญหามลภาวะและการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่กับภูเก็ต และปัญหาด้านการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาทิ จุดตรวจคนเข้าเมือง การขาดแคลนเที่ยวบินในบางเส้นทางเฉพาะหน้าเทศกาล หรือป้ายบอกทางที่ยังไม่เป็นสากลจนทำให้เกิดความสับสน

ปัญหาเดิม ๆ เหล่านี้ที่เรายังแก้ไม่ได้ ทั้งความปลอดภัย ทั้งเรื่องโรคเอดส์ ซึ่งทั่วโลกให้ความสำคัญ อย่างพัทยา ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีแต่ "นักเที่ยว" ในขณะที่นักท่องเที่ยวลดลงแล้วทั้งในพัทยาและภูเก็ต โดยเกาะสมุยที่เพิ่งจัดฉลองครบ 100 ปีจะเป็นรายต่อไปถ้ายังไม่มีการควบคุมอย่างจริงจัง

ททท. น่าจะมีบทบาทและอำนาจหน้าที่มากกว่านี้ทั้งในด้านการกำกับ ควบคุม และดูแล ในเรื่องคุณภาพแทนที่จะเป็นเพียงหน่วยงานประชาสัมพันธ์ เพราะปัญหาหนึ่งที่ทำให้แหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรมลงคือไม่มีหน่วยงานมารับผิดชอบอย่างจริงจังและมีเอกภาพมากพอ

การเคลื่อนเข้ามาของนักท่องเที่ยวแท้ที่จริงนั้น ยังมีอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มจำนวนขึ้นตลอดเวลานั้นดูความถี่ของการมาเที่ยว ระหว่างการมาครั้งแรก ต่อการมาซ้ำก็จะพบว่า เป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมาก คือ 49.91:50.09 ส่วนหนึ่งเพราะประเทศไทยโชคดีที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ไม่แปลกอะไรถ้าจะได้ยินว่านักท่องเที่ยวต่างชาติกล่าวว่า "ท้องฟ้าเมืองไทยสามารถเห็นดาวได้ชัดที่สุด และเป็นท้องฟ้าที่สวยที่สุดในโลก"

แต่ปัญหาความปลอดภัย ความเสื่อมโทรมของพื้นที่และการจัดระเบียบไม่ได้ ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มย้ายจากพัทยา ภูเก็ต และเกาะสมุย เพื่อหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นหาดแถบพังงา กระบี่ ที่ยังถูกทำลายน้อยและยังเงียบสงบอยู่บ้างเนื่องจากเป็นที่รู้จักกันในวงจำกัด

มีคนพูดว่าพูดว่าประเทศไทยมีประตูเดียว ในขณะที่ต้องการให้คนเข้ามาเยอะจึงเกิดปัญหาในด้านคมนาคมโดยเฉพาะสนามบินดอนเมือง แค่ถนนวิภาวดีรังสิตซึ่งเป็นเส้นทางเดียวที่เชื่อมโยงระหว่างตัวเมืองกรุงเทพฯ สู่สนามบินก็ยังเป็นปัญหาในเรื่องการจราจร ที่สร้างความเบื่อหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวตั้งแต่เหยียบย่างเข้าประเทศ จนกระทั่งกลับออกไป ทำอย่างไรจะแก้ไขได้ นี่ยังไม่รวมถึงกรณีสนามบินหนองงูเห่าที่กลายเป็นตำนานไม่รู้จบเสียที

ชาวต่างชาติยังให้ความเห็นว่า เมืองไทยมีศักยภาพพอที่จะพัฒนาเป็น Shopping Paradise แต่ยังติดปัญหาในเรื่องการจราจรและสภาพอากาศ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยสมัครใจที่จะไปฮ่องกง หรือสิงคโปร์มากกว่า

แนวทางที่เป็นไปได้ตามแนวคิดของมิ่งสรรพ์ ขาวสอาด รองประธานสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ในฐานะประธานโครงการจัดทำแผนแม่บททางการท่องเที่ยว ได้เสนอให้ ททท. ปรับแผนการดำเนินงานการท่องเที่ยวระหว่างปี 2541-2542 ให้สอดคล้องกับนโยบายหารายได้เร่งด่วนเข้ารัฐ

โดยกำหนดให้ปรับกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ การตลาดและการขาย มุ่งนำกิจกรรมที่ไทยได้รับการยกย่องจากนานาประเทศว่ามีศักยภาพสูงในด้านการดึงดูดโดยมีทรัพยากรหลัก 5 ประเภทคือ 1. วัฒนธรรม 2. ประวัติศาสตร์ 3. อัธยาศัยคนไทย 4. ร้านอาหาร และ 5. ชีวิตราตรี เป็นจุดขายหลักทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเปรียบเทียบแล้วจะทำรายได้ให้ประเทศสูงกว่าการขายธรรมชาติ โดยระหว่างนี้ ททท. ต้องหยุดขายสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ และต้องเร่งฟื้นฟูให้คืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว

จะสำเร็จได้ต้องช่วยกันทั้งประเทศ

แม้ว่าการลอยตัวค่าเงินบาทไม่ใช่ยาหม้อใหญ่หรือยาขนานพิเศษ แต่ทันทีที่ประกาศเปลี่ยนแปลง เสรี วังส์ไพจิตรผู้ว่า ททท. ก็รีบออกมาตอบรับทันควันเช่นเดียวกันว่า "จะส่งผลดีโดยรวมต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย เพราะนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศอาจเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ถูกลง และคุ้มค่ามากขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าในปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการมาท่องเที่ยวเมืองไทยถือว่าถูกแล้วก็ตาม"

และกล่าวเสริมว่า "หลังจากที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง จะเป็นการลดค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และให้สามารถเที่ยวเมืองไทยได้อย่างทั่วถึงกว่าเดิม เพราะไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย และอาจส่งผลให้รายได้กระจายสู่ภูมิภาคมากขึ้น"

เมื่อโครงการ "Amazing Thailand" ถูกประกาศออกมานั้นหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาที่ยังค้างคาของประเทศซึ่งอาจทำให้ไม่ได้ผลอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่เป็นที่ยอมรับว่าดูจะเป็นสิ่งเดียวที่จะทำเงินเข้าประเทศได้เร็วที่สุด สำหรับทางภาคธุรกิจเอกชนเองที่จะมีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงในเรื่องนี้ก็พร้อมที่จะสนองตอบต่อนโยบายดังกล่าวอย่างแข็งขัน แม้จะยังไม่แน่ใจในความสำเร็จมากนักก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ว่านโยบายอะไรที่ออกมาจะดีหรือไม่เจ๋งพออย่างไรก็ช่าง ประเทศชาติกำลังย่ำแย่ เรือกำลังจะจม ไม่ใช่เวลามานั่งวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเรือไม่สวยหรือแล่นไม่ถูกทาง ยังมีโอกาสอย่างนั้นอีกเยอะถ้าเรือไม่จมเสียก่อน เวลานี้จึงเป็นเวลาที่ต้องการให้ทุกคนในชาติช่วยกันวิดน้ำออกจากเรือให้เร็วที่สุด

อย่างมหกรรมส่งออกธุรกิจบริหาร หรือ "Thailand Service Trade 1997" ซึ่งจัดแสดงขึ้นในวันที่ 1-3 สิงหาคมที่ผ่านมา ไอเดียของกระทรวงพาณิชย์ นับว่าเป็นแนวคิดที่ดีในการดึงความสามารถทางการบริการของคนไทยออกมาทำให้เป็นระบบและมีมาตรฐานมากขึ้น

นำร่องด้วยธุรกิจบริการ 5 กลุ่ม ได้แก่ ร้านอาหารไทย สวนสนุกและสนามกอล์ฟ การแพทย์ สุขภาพและความงาม และบันเทิง โดยจะนำเสนอบริษัทคนไทยที่เป็นที่ยอมรับไปจนถึงต่างประเทศ อาทิ S&P, สุกี้โคคา, อายุรเวทวิทยาลัย, JSL, มีเดีย ออฟ มีเดียส์, รพ. กรุงเทพ, รพ. บำรุงราษฎร์ เป็นต้น กระทรวงพาณิชย์หวังจะรวบรวมธุรกิจบริการแต่ละกลุ่มตั้งเป็นสมาคมเพื่อการพัฒนาสู่ความเป็นมาตรฐาน และสามารถขยายผลไปถึงขั้นการขายแฟรนไชส์ของธุรกิจออกไปยังต่างประเทศอีกด้วย

มาตรการต่าง ๆ ของรัฐที่ออกมาจะดีมากดีน้อยก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยแล้วปล่อยให้ภาคเอกชนต้องเผชิญสภาพที่ย่ำแย่ไปเพียงลำพัง อย่างนั้นจะยิ่งแย่กว่าที่เป็นอยู่ ดังนั้นจะสังเกตเห็นได้ไม่ว่ามาตรการใดที่ออกมาเอกชนต่าง ๆ พร้อมที่จะตอบสนองทั้งสิ้น ขอให้มาตรการนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนไม่ยึกยักชักช้าออกจนเกิดความไม่มั่นใจเหมือนในอดีตที่ผ่าน ๆ มา

ไม่เพียงเอกชนเท่านั้นที่ต้องให้ความร่วมมือจัดกิจกรรมตอบสนองต่อโครงการ "Amazing Thailand" แต่ต้องเป็นคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันสนับสนุน เพื่อให้โครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จเพราะอาจจะเป็นทางรอดเดียวของประเทศในตอนนี้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us