Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน6 กุมภาพันธ์ 2549
กูรูชี้แฟชั่นไทยด้อยสร้างแบรนด์แนะใช้จุดแข็งวัตถุดิบ-แรงงาน             
 


   
search resources

Clothings
Branding




4 กูรูวงการแฟชั่นไทยร่วมถกกลยุทธ์การสร้างแบรนด์สินค้าแฟชั่นไทยยังด้อยอยู่ ชี้จุดอ่อนมีมากทั้งขาดการวิจัยต่อเนื่อง เงินทุน และขั้นตอนการผลิต ส่วนจุดแข็งแบรนด์ไทยอยู่ที่มีวัตถุดิบและแรงงานมีฝีมือ ระบุกว่าจะเทียบชั้นแบรนด์อินเตอร์ได้ต้องใช้เวลาอีกระยะ พร้อมเห็นด้วยกับการที่ภาครัฐหนุนเรื่องแฟชั่นไทยสู่ฮับของเอเชีย

ปัจจุบันอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐบาลมากขึ้น เห็นได้จากการที่ภาครัฐได้กำหนดให้อุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่จะแข่งขันกับตลาดโลกได้ โดยได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าไทยจะต้องเป็นศูนย์กลางแฟชั่นของภูมิภาคและติดอันดับโลกให้ได้ภายในปี 2555 ดังนั้นช่วงที่ผ่านจึงได้เห็นความเคลื่อนไหวต่างๆออกมาเป็นระยะ อาทิ โครงการ "กรุงเทพเมืองแฟชั่น" ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2546 หรืองานบางกอก แฟชั่น วีค 2005 ที่จัดไปเมื่อปลายปีที่แล้ว เป็นต้น

โดยกลยุทธ์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยให้ติดตลาดโลกมี 3 มิติด้วยกัน ได้แก่ การสร้างคน, การสร้างธุรกิจ และการสร้างเมือง ซึ่งการที่ไทยจะไปสู่จุดนั้นได้ก่อนอื่นจะต้องมีการยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสากลและมีการสร้างตราสินค้าให้กับแบรนด์ตัวเองเสียก่อน ตรงนี้ถือเป็นจุดอ่อนของแบรนด์ไทยที่ยังไม่มีการสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง

ดังนั้นทางสาขาวิชาการโฆษณา ภาควิชาการประสัมพันธ์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว จึงได้จัดงานสัมมนาเชิงวิชาการในหัวข้อ "FAB หรือ Fabulous : Fashion and Branding" โดยมี 4 ขุนพลผู้คร่ำหวอดในวงการแฟชั่นของไทย อาทิ นายภาณุ อิงคะวัต ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ เกรฮาวด์ จำกัด, นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัทวรรณมานี จำกัด และบริษัทซังออนอเร่ (กรุงเทพ) จำกัด , นายกุลวิทย์ เลาสุขศรี บรรณาธิการนิตยสารแอล และนายสมบัษร ถิระสาโรช เจ้าของบริษัทตือ จำกัด มาร่วมวงสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

แบรนด์คืออะไร

แบรนด์หรือตราสินค้าในมุมมองของนางนวลพรรณ ล่ำซำ ผู้นำเข้าแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ อาทิ แอร์เมส, เอ็มโพริโอ อาร์มาร์นี่,ทอดส์ เป็นต้น หมายถึง แบรนด์หรือตราสินค้าเหมือนเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี เพราะมันเป็นเหมือนชื่อหรือนามสกุลของสินค้านั้นๆ ซึ่งแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จได้จะต้องกำหัวใจของผู้บริโภคให้ได้ ดังนั้นการสร้างแบรนด์จึงมีความจำเป็นหากสินค้าไทยจะไปสู่สากล ยิ่งโลกในปัจจุบันเป็นแบบโลกาภิวัตรด้วยแล้ว รวมถึงการเปิดเวทีการค้าเอฟทีเอที่จะทำให้ตลาดเปิดกว้างมากขึ้น สำหรับแบรนด์ไทยที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ อาทิ แบรนด์แฟชั่นของเกลย์ฮาวด์ รวมถึงแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มอย่างกระทิงแดงหรือเรดบูล เครื่องดื่มชูกำลังที่เป็นที่รู้จักดีในต่างประเทศทั้งในยุโรปและออสเตรเลีย รวมถึงร้านอาหารไทยที่มีโอกาสก้าวสู่ตลาดอินเตอร์ได้ไม่ยาก เช่น โคคาสุกี้ เป็นต้น

ด้านนายสมบัษร นักจัดออร์แกไนซ์มือ 1 ของไทย ให้ความเห็นประกอบว่า การสร้างแบรนด์ยังต้องอาศัยฟังก์ชั่นอื่นๆ ด้วยหากต้องการก้าวสู่สากล ทั้งในเรื่องคน การผลิต หรือการสนับสนุนจากภาครัฐบาล รวมถึงการมีพันธมิตรที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งตรงนี้ไทยจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการเรียนรู้

กลยุทธ์การสร้างแบรนด์แฟชั่น

วิธีการสร้างแบรนด์สินค้าในมุมมองของนายภาณุ อิงคะวัต ผู้สร้างแบรนด์เสื้อผ้าไทยอย่างเกรฮาวด์,เพลย์ฮาวด์และเกร รวมถึงร้านอาหารเกรฮาวด์ คาเฟ่และอะนาเตอร์ ฮาวด์ กล่าวว่า เบื้องหลังการสร้างแบรนด์ คือ การสั่งสม ซึ่งแบรนด์เหมือนสิ่งมีชีวิตต้องการการดูแลอยู่ตลอดเวลา ทั้งการประชาสัมพันธ์, การตลาด,พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ซึ่งสินค้าแฟชั่นและสินค้าอื่นจะไม่ค่อยแตกต่างกันมาก แต่สินค้าแฟชั่นอาจมีเรื่องสไตล์และความชอบเข้ามาเกี่ยวข้อง นอกเหนือจากประโยชน์ใช้สอยโดยตรง

ส่วนวิธีการที่ทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จได้นั้นนั้น นางนวลพรรณ กล่าวในฐานะผู้มีประสบการณ์ว่า ธุรกิจการนำสินค้าแฟชั่นเข้ามาทำตลาดไทยนั้นใช้นำหลักทางการตลาด 4 P มาใช้ คือ 1. ผลิตภัณฑ์(Product) หรือสินค้าแฟชั่นนำเข้าต้องมีการซื้อล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน 2. สถานที่(Place) หรือโลเคชั่นในการจำหน่ายสินค้า 3. โปรโมชั่น (Promotion) เช่น การทำซีอาร์เอ็มเพื่อเก็บฐานข้อมูลลูกค้า และ 4. ราคา (Price) ซึ่งไทยเสียเปรียบอยู่ในการตั้งราคาสินค้า เนื่องจากภาษีนำเข้าสูงกว่า 60% ขณะที่สิงคโปร์และฮ่องกงภาษีนำเข้า 0%

บทบาทของสื่อในการสร้างตราสินค้า

ในฐานะตัวแทนสื่อ นายกุลวิทย์ กล่าวว่า นิตยสารไทยมีหลายประเภท ดังนั้นการทำงานจึงมีหน้าที่แตกต่างกันไป ส่วนนายสมบัษร กล่าวว่า การสร้างแบรนด์สินค้าในปัจจุบันมีมากขึ้น อาทิ การจัดแฟชั่นโชว์หรือจัดงานออร์แกไนซ์ รวมถึงโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งตรงนี้ผู้ประกอบการจะต้องมีการวางแผนหรือการเลือกสื่อให้ตรงกับสินค้ามากที่สุด

จุดแข็งและจุดอ่อนแบรนด์ไทย

สำหรับจุดแข็งแบรนด์ไทยในการก้าวสู่สากลได้นั้น คือ คนไทยมีศิลปะในการแต่งตัวที่ดีและสวย , การมีวัตถุดิบที่ดีอยู่หลายอย่างทั้งกลุ่มแฟชั่นและอัญมณี ที่สำคัญแรงงานไทยมีทักษะและมีฝีมือดี โดยเฉพาะฝีมือทางด้านเจียรนัยเพชร ฯลฯ ซึ่งตรงนี้เรายังได้เปรียบจีนและเวียดนามถึงแม้ค่าแรงของ 2 ประเทศนี้จะถูกกว่าก็ตาม

"จุดอ่อนของแบรนด์ไทย คือ การขาดการทำวิจัยหรืออาร์ แอนด์ ดี อย่างต่อเนื่อง ตรงนี้ทางภาครัฐเห็นจุดอ่อนแล้ว จึงมีการส่งเสริมทางด้านนี้ เช่น การตั้งศูนย์ทีซีดีซี เป็นต้น นอกจากนี้เรื่องกระบวนการผลิตของไทยยังเป็นต้นน้ำอยู่หรือรับจ้างผลิตอยู่ ตรงนี้เห็นได้จากลิขสิทธิ์ไทยที่ไปจดทะเบียนในต่างประเทศพบว่ายังน้อยมาก ส่วนเรื่องโอกาสที่ไทยจะเป็นเซ็นเตอร์ของเอเชียนั้นก็เป็นไปได้ แต่ติดตรงที่คนต่างชาติยังมองเมืองไทยว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวอยู่ ขณะที่เรื่องภาพลักษณ์ประเทศไทยยังไม่เป็นเมืองแฟชั่น คงต้องใช้เวลาในการสร้างภาพลักษณ์ตรงนี้นานพอสมควร" เป็นคำกล่าวของนางนวลพรรณ

ส่วนนายภาณุ กล่าวเสริมว่า แบรนด์ไทยยังด้อยกว่าแบรนด์อินเตอร์มาก ทั้งในเรื่องของเงินทุน การผลิต คุณภาพสินค้า และโรงงาน ฯลฯ ซึ่งแบรนด์ไทยยังต้องมีการพัฒนาอีกไกลถึงจะตามทัน ในส่วนของดีไซน์เนอร์ไทยนั้นจะเห็นได้ว่ามีความอิสระสูงและมีฝีมือ แต่ยังขาดเรื่องความต่อเนื่องในการทำงานอยู่

บทบาทภาครัฐต่อแฟชั่นไทย

รัฐบาลชุดนี้ให้การสนับสนุนเรื่องแฟชั่นไทยอย่างชัดเจน เห็นได้จากโครงการกรุงเทพเมืองแฟชั่น ซึ่งตรงนี้ นายภาณุ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องดี และเป็นการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของภาครัฐ แต่ควรมีการติดตามผลงานอย่างต่อเนื่อง

ส่วนนายกุลวิทย์ ฉายความเห็นว่า โครงการทั้ง 11 โครงการที่อยู่ในกรุงเทพเมืองแฟชั่นยังไม่สามารถลิงค์กันได้ ถือเป็นจุดอ่อนที่ควรแก้ไขในครั้งต่อไป รวมถึงผู้นำโครงการจะต้องเป็นคนที่รู้เรื่องแฟชั่นเป็นอย่างดีถึงจะบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้านนายสมบัษร์ กล่าวว่า สิ่งที่เรียนรู้จากการทำงานบางกอก แฟชั่นวีค 2005 ที่ผ่านมา คือ เรื่องบายเออร์หรือผู้ซื้อที่ทางภาครัฐจะต้องให้ความสำคัญมากกว่านี้ และสิ่งที่ภาครัฐทำอยู่ในเวลานี้ถือเป็นกระแสและเป็นการเริ่มต้นที่ดีต่อวงการแฟชั่นไทย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us