"วังทอง กรุ๊ป" เปิดช่องทางระดมทุนใหม่ผ่านแคมเปญ "รับประกันการันตีซื้อคืนบ้าน" เผยแผนปี 49 เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮาส์ พ่วงคอนโดฯราคาถูก รวม 7 โครงการ มูลค่าขายกว่า 1,500-2,000 กว่าล้านบาท แจงยังยึดกลุ่มลูกค้ากลาง-ล่าง ระบุกำลังซื้อลดต้องหันทำบ้านราคาต่ำ พร้อมเจาะเพิ่มทำเลใหม่บางนา, เอกมัย-รามอินทรา, อ่อนนุช, ประชาชื่น ตั้งเป้ายอดขาย 3,000 ล้านบาท
นายปราโมทย์ เจษฎาวรางกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วังทองกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เปิดกลยุทธ์ทางการตลาด ภายใต้แคมเปญใหม่ "รับประกันการันตีซื้อคืนบ้าน" หรือ "ให้บ้าน..หาเงินแทนคุณ" โดยเป็น การระดมเงินรูปแบบใหม่ เพื่อนำรายได้จากการขายไปใช้เป็นทุนหมุนเวียน ในการก่อสร้างหรือซื้อที่ดินในการพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งวังทองฯ จัดวางรูปแบบ (โมเดล) ของแคมเปญ ดังกล่าวนี้มากว่า 2 ปีแล้ว โดยจะเน้นจับกลุ่มลูกค้านักลงทุน ที่มีเงินก้อน (เงินเย็น) และต้องการเพิ่มรายได้จากการลงทุน หรือรับผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะสั้น
โดยภายในแคมเปญดังกล่าว บริษัทจะนำบ้านตัวอย่าง จำนวน 20 ยูนิต มูลค่า 120 ล้านบาท จากจำนวนโครงการที่เปิดขายอยู่ 5 โครงการ เปิดให้นักลงทุนเข้ามาซื้อ-เช่าบ้านตัวอย่างดังกล่าว ด้วยเงินสดตามที่บริษัทกำหนดราคาไว้ ซึ่งในการซื้อขายดังกล่าว บริษัทจะร่วมทำสัญญาซื้อขาย และสัญญาเช่าต่อจากลูกค้า เพื่อนำบ้านดังกล่าวมาใช้เป็นบ้านตัวอย่างในโครงการต่อไป โดยในสัญญาจะมีการระบุราคาขาย ผลตอบแทนที่ลูกค้าจะได้รับ และกำหนดระยะเวลาในการซื้อคืน จากลูกค้าในกรณีที่ลูกค้าต้องการขายบ้านคืนให้หลังหมดอายุสัญญา รวมถึงมีการกำหนดราคาซื้อคืนในอัตราที่บวกดอกเบี้ยให้กับลูกค้าด้วย
ทั้งนี้ บริษัทรับประกันว่าผลตอบแทนที่ลูกค้าจะได้จากค่าเช่าจะอยู่ในระดับ 5,000-20,000 บาทต่อเดือน ซึ่งวังทองฯ จะให้ผลตอบแทนตามรูปแบบบ้านในแต่ละโครงการโดยระยะเวลาในการซื้อคืนบ้านของวังทอง จะมีอายุสัญญาประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่บริษัทกำหนดว่า จะปิดการขายในแต่ละโครงการ ส่วนราคาบ้านที่จะซื้อคืนนั้นบริษัทจะบวกอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้ในอัตราเฉลี่ย 5.25%
"แคมเปญนี้ เปรียบเหมือนช่องทางการระดมทุนแนวทางหนึ่งของบริษัท จะช่วยลดต้นทุนในการบริหาร และคุมต้นทุนด้านการเงิน โดยบริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่งพาเงินกู้จากสถาบันการเงิน เนื่องจากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น มีผลทางด้านต้นทุนการเงินกับบริษัทด้วย ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบระหว่างการ กู้เงินจากสถาบันการเงิน ที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราเงินกู้ประมาณ 6.5-7.5% และดอกเบี้ยยังไม่นิ่ง แต่การจ่ายผลตอบแทนบวกอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 5.25% จาก ณ ราคาคงที่จากการซื้อคืนบ้าน ถือว่าบริษัทได้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 50% ของมูลค่าบ้านที่นำออกขาย และเมื่อบริษัทซื้อคืนมาแล้วลูกค้าจะไม่ต้องจ่ายค่าภาษี หรือค่าธรรมเนียมการโอนเลย เนื่องจากบริษัทจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายดังกล่าวเองทั้งหมด" นายปราโมทย์กล่าว
นอกจากนี้ หลังเดือนกุมภาพันธ์ บริษัทจะออกแคมเปญต่อเนื่อง คือ "ซื้อบ้านแลกบ้าน" โดยลูกค้าที่ซื้อบ้านของบริษัทไปแล้ว ต้องการขายเพื่อไปอยู่ทำเลใหม่และต้องการซื้อบ้านในโครงการใหม่ของบริษัท ก็สามารถนำบ้านหลังเก่า มาขายให้แก่บริษัทได้ ซึ่งมีการกำหนดราคากลางไว้ แต่จะเป็นเท่าไหร่นั้น อยู่ระหว่างประเมินตัวเลขให้ชัดเจน โดยแคมเปญดังกล่าว ได้ร่วมมือกับบริษัทตัวแทนนายหน้าค้าอสังหา-ริมทรัพย์ คือ บริษัท บี.ซี.พี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด ขายสินค้าประเภทบ้านมือสองจากโครงการแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ และยังมีพันธมิตรจากธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และธนาคารแห่งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาสนับสนุนให้แก่ลูกค้า
ทุ่มเปิด 7 โปรเจตก์ เดินหน้าคอนโดฯราคาถูก
นายปราโมทย์กล่าวถึงแผนการดำเนินงาน ในปี49 ว่า วังทองฯ จะเปิดตัว โครงการใหม่ 7 โครงการมูลค่า 1,500-2,000 ล้านบาท โดย 5 โครงการแรกอยู่บนทำเลเดิมย่านรังสิต ลำลูกกา ส่วนอีก 2 โครงการจะเปิดทำเลใหม่ย่านประชาชื่น เอกมัย-รามอินทรา บางนา หรืออ่อนนุช ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินอยู่ โดยการทำโครงการปีนี้จะเน้นทาวน์เฮาส์ชั้นเดียว ราคา 7-8 แสนบาท หรือ ทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น 1.5 ล้านบาทประมาณ 700-800 ยูนิต บ้านเดี่ยว ชั้นเดียว 1.8-2.5 ล้านบาท ประมาณ 200-300 ยูนิต และคอนโดมิเนียม ระดับราคา 7-8 แสนบาท ขนาด 30 ตร.ม. เป็นอาคารโลวไรส์ 1 อาคาร สูง 9 ชั้น จำนวน 300 ยูนิต เนื่องจากความต้องการในโครงการที่จับตลาดระดับกลาง-ล่างนั้นมีสูง โดยสินค้าที่บริษัทจะพัฒนาออกขายในตลาดปีนี้ บริษัท จะเน้นก่อสร้างทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวมากขึ้น
"วังทองต้องการเติมเต็มช่องว่างทางตลาดที่ยังขาดอยู่ โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ 1-2 ชั้นและบ้านเดี่ยวชั้นเดียว คาดว่าตลาดจะให้การตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งมั่นใจว่า ความต้องการซื้อของลูกค้ามีประกอบกับขณะที่อัตราดอกเบี้ย ขยับขึ้น ผู้บริโภคก็มีความระมัดระวังในการ ซื้อบ้าน โดยหันมาซื้อที่อยู่ในราคาที่ต่ำลง"
สำหรับในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารับรู้รายได้ ที่ 2,400-2,500 ล้านบาท สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯทั้งปี คาดว่าจะมีอัตราเติบโตใกล้เคียงกับปี 2548 คิดเป็นจำนวนบ้านจดทะเบียนใหม่ประมาณ 70,000 ยูนิต โดยพบว่าในปีนี้ กลยุทธ์การตลาดที่ออกมา ต้องปรับให้สร้างสรรค์มากขึ้นไม่เป็นภาระต่อผู้บริโภคและได้ผลประโยชน์สูงสุด สุดท้ายแล้ว จะหนีไม่พ้น การลด แลก แจก แถม และแคมเปญทางการเงิน ที่ยังเป็นกลยุทธ์เดิมๆ
|