อธิบดีกรมการประกันภัยสั่งเจ้าหน้าที่ประกันภัยออกตรวจสอบข้อมูล กรณีกลุ่มคนประกาศเชิญชวนทำประกันชีวิตรูปแบบใหม่ให้ผลตอบแทนด้วยการนำทุนประกันภัยไปใช้ก่อนล่วงหน้าได้ก่อน ยันไม่มีนโยบายนี้ หวั่นประชาชนโดนตุ๋น สงสัยข้อมูลสอบถามสายด่วนประกันภัย 1186 ได้ทันที

น.ส.พจนีย์ ธนวรานิช อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ประกันภัยจังหวัดนครราชสีมาและปราจีนบุรี ออกตรวจ เช็กข้อมูลกรณีมีกลุ่มคนประกาศเชิญชวนทำประกันรูปแบบใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูงแล้ว ซึ่งกำลังรอผลการรายงานของเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 จังหวัดอยู่ แต่ขอยืนยันว่า กรมการประกันภัยไม่มีนโยบายทำประกันชีวิตรูปแบบ ใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูงด้วยการให้เงินค่าทำประกันชีวิตตามกรมธรรม์ 25 ปี วงเงินคุ้มครอง 500,000 บาทแต่อย่างใด ดังนั้น ขอเตือนประชาชนอย่าได้หลงเชื่อกลุ่มคนที่เข้ามาชักชวน โดยให้ผลตอบแทนประกันชีวิตสูง หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามสายด่วนประกันภัย 1186 ได้ทันที

ทั้งนี้ รูปแบบที่กลุ่มคนประกาศ เชิญชวนให้ประชาชนในหมู่บ้านต่าง ๆ หันมาทำประกันชีวิตนั้น โดยจะได้รับทุนประกันล่วงหน้าไปก่อนในวงเงินกรมธรรม์ 25 ปี จำนวน 500,000 บาท แต่จะได้รับเงินทุนประกันล่วงหน้าเพียง 400,000 บาท ซึ่งจะถูกหักเป็นค่าดำเนินการ 100,000 บาท และจะถูกหักเป็นค่านายหน้าที่ชักชวนอีกไม่ต่ำกว่าคนละ 40,000 บาท เท่ากับผู้เอาประกันจะได้เงินสดเพียง 360,000 บาท แต่ผู้เอาประกันจะต้องเป็นผู้ผ่อนส่งรายเดือนกับบริษัทประกันชีวิตในอัตราเดือนละ 1,650 บาท เป็นอย่างต่ำตลอด 25 ปี เป็นเงิน 495,000 บาท เท่ากับว่าผู้เอาประกันชีวิตจำต้อง เสียเงินจากที่ถูกหักครั้งแรก 100,000 บาท ค่านายหน้าอีก 40,000 บาท และค่าผ่อนเบี้ยรายเดือนตลอด 25 ปี อีก 495,000 บาท ที่สำคัญหากผู้ทำประกัน ชีวิตเกิดเสียชีวิตผู้รับผลประโยชน์ที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องจะได้รับเงินจากบริษัท ประกันในวงเงินจำนวน 500,000 บาท ไปทันที

"สิ่งที่กรมการประกันภัยกลัวขณะนี้คือ หากประชาชนหลงเชื่อทำประกันชีวิตตามคำชักชวน แม้ว่าจะส่งรายเดือนไม่มาก แต่อาจมีปัญหาภายหลังหากไม่สามารถผ่อนส่งค่าเบี้ยประกันได้ก็จะถึงขั้นขายนาหรือขายของที่จำเป็นมาผ่อนชำระได้ ดังนั้น เวลานี้กำลังรอรายละเอียดจากทางเจ้าหน้าที่ประกันภัยจังหวัดดังกล่าวอยู่ แต่ขอยืนยันผู้กระทำการในลักษณะดังกล่าวที่ไม่มีใบอนุญาตให้เป็นนายหน้าตัวแทนขายประกันถือว่าผิดกฎหมาย แต่กำลังตรวจเช็กลงไปยังบริษัทประกันชีวิตทุกแห่งด้วย ซึ่งหากมีความชัดเจนในเรื่องนี้จะทำหนังสือเวียนขอความร่วมมือไปยังบริษัทประกันชีวิตทุกแห่ง อย่าได้รับทำประกันในลักษณะดังกล่าวโดยเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการหลอกลวงประชาชนเข้าข่ายผิดกฎหมาย ด้วยเช่นกัน" น.ส.พจนีย์ กล่าว

นอกจากนี้ กรมการประกันภัยได้รายงานถึงตัวเลขการส่งทรัพย์สินสำหรับเงินสำรองแก่กรมการประกันภัย ของธุรกิจประกันชีวิตทั้ง 25 บริษัท ที่ได้วางทรัพย์สินสำหรับเป็นเงินสำรอง ประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันชีวิต ซึ่งยังมีผลผูกพันกับกรมการประกันภัย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 97,128 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 21.66%

โดยทรัพย์สินที่นำมาเป็นเงินสำรองประกันภัย เป็นพันธบัตรรัฐบาลไทยจำนวน 65,973.68 ล้านบาท คิดเป็น 67.92% ของทรัพย์สินเงินสำรองที่วางไว้ พันธบัตรรัฐวิสาหกิจจำนวน 23,119.59 ล้านบาท คิดเป็น 23.80% ของทรัพย์สินเงินสำรองที่วางไว้ ขณะที่ตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินมีจำนวน 6,398.38 ล้านบาท คิดเป็น 6.59% ของทรัพย์สินเงินสำรองที่วางไว้

นอกจากนี้ ยังเป็นทรัพย์สินประเภทสมุดเงินฝาก และใบรับฝากเงินประจำจำนวน 800 ล้านบาท คิดเป็น 0.82% ของทรัพย์สินเงินสำรองที่วางไว้ ที่ดินและอาคารจำนวน 520.38 ล้านบาท คิดเป็น 0.54% ของทรัพย์สินเงินสำรองที่วางไว้ รวมทั้งหุ้นกู้บริษัทจำกัดและหุ้นกู้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจำนวน 315.91 ล้านบาท คิดเป็น 0.33% ของทรัพย์สินเงินสำรองที่วางไว้

ทั้งนี้ บริษัทประกันชีวิตจะต้องจัดสรรเบี้ยประกันภัยไว้เป็นเงินสำรองประกันภัยเพื่อจ่ายคืนให้แก่ผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้รับประโยชน์ในอนาคตตามสัญญาที่ได้ทำไว้กับลูกค้า เช่น เมื่อครบกำหนดสัญญา เมื่อเสียชีวิต หรือเมื่อเวนคืนกรมธรรม์ เป็นต้น กฎหมายกำหนดให้บริษัทจะต้องนำเงินสำรองประกันภัยมาวางไว้กับกรมการประกันภัยเป็นมูลค่าไม่เกิน 20% ของเงินสำรองประกันภัยทั้งสิ้น

สำหรับเงินสำรองประกันภัยที่บริษัทประกันชีวิตได้วางไว้กับกรมการ ประกันภัยนี้ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงสำหรับผู้ทำประกันภัยกับบริษัทประกันชีวิต ดังนั้น กรมการประกันภัยจึงกำหนดให้บริษัทจะต้องนำทรัพย์สินที่มีความมั่นคงสูงเท่านั้นที่วางกับกรมการประกันภัยได้