หุ้นเอสซี แอสเสท ราคาพุ่งนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน 107.69% นักลงทุนแห่เก็งกำไรคาดแปลงร่างเป็นโฮลดิ้งลงทุนธุรกิจอื่นให้ตระกูลชินวัตร นอกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ลือถือหุ้นทีพีไอสัดส่วน 8% ขณะที่โบรกเกอร์แนะขายทำกำไรเหตุราคาขึ้นมาสูงกว่าปัจจัยพื้นฐาน

วานนี้(26 ม.ค.)หุ้นบริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)(SC) ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น โดยเปิดมาที่ระดับ 20.40 บาทซึ่งถือเป็นระดับราคาสูงสุดของวัน หลังจากนั้นก็มีแรงเทขายทำกำไรออกมา ทำให้ราคาอ่อนตัวลงและมาปิดที่ระดับ 21.60 บาทเพิ่มขึ้น 2 บาทหรือ 10.20% และมีมูลค่าการซื้อขาย 1,028.65 ล้านบาท

เมื่อเทียบกับราคาเมื่อต้นปีวันที่ 3 มกราคม 2549 ซึ่งราคาปิดที่ 10.40 บาททำให้ราคาหุ้นจนถึงล่าสุดเพิ่มขึ้น 11.20 บาทหรือคิดเป็น 107.69%

แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์กล่าวว่า การที่ราคาหุ้นบริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่นปรับตัวสูงขึ้นนั้น เนื่องจากนักลงทุนได้เข้ามาเก็งกำไรในประเด็นเก่า โดยคาดการณ์ว่าหลังจากที่ตระกูลชินวัตรได้ขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่นออกไปแล้วนั้น จะทำให้บริษัทเอสซี แอสเซท คอร์ปอเรชั่นขึ้นมาเป็นโฮลดิ้ง คอมพานี เพื่อใช้ลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูง นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบัน โดยมีกระแสข่าวลือว่าบริษัทเอสซี แอสเซท คอร์ปอเรชั่นจะเข้าไปลงทุนในบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทยหรือTPI โดยจะติดต่อซื้อจากเจ้าหนี้กว่า 8% เพราะหวังจะได้รับเงินปันผลหลังจากที่บริษัทได้ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการแล้ว ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทอาจจะร่วมทุนกับพันธมิตรจากสิงคโปร์ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวว่าทางบริษัทมีชนะการประมูลโครงการมักกะสัน คอมเพล็กส์ ซึ่งเกี่ยวโยงกับโครงการแอร์พอร์ต เรียลลิงค์ ซึ่งจะส่งผลดีกับผลการดำเนินงานของบริษัท

“ที่ผ่านมาราคาหุ้น SC ขึ้นมาแรงเกินพื้นฐานในการประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งนักลงทุนคงคาดหวังว่า SC จะเป็นโฮลดิ้งของกลุ่มชินในการเข้าไปลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้บริษัท”แหล่งข่าวกล่าว

ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ได้ทำบทวิเคราะห์หุ้นบริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น โดยได้ประเมินว่าหุ้นยังมีอนาคตที่ดีในปีนี้ เนื่องจากมียอดขายล่วงหน้าที่แข็งแกร่งในบ้านระดับกลางและล่าง,มีรายได้ปล่อยเช่าที่แข็งแกร่งในอาคารชินวัตร ทั้ง 3 อาคารและการเปิดโครงการบ้านเดี่ยวใหม่ในปีนี้

อย่างไรก็ตามราคาหุ้นในขณะนี้มีการซื้อขายที่มีค่าพี/อี เรโชอยู่ในระดับสูงเกินกว่าราคาที่เหมาะสม โดยฝ่ายวิจัยบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ได้ประเมินราคาหุ้นที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับหุ้นละ 14 บาท ดังนั้นราคาปัจจุบันนี้ถือว่าสูงกว่าราคาที่เหมาะสม จึงแนะนำให้ขายทำกำไร