นายกสมาคมค้าทองคำระบุตลาดทองคำปีนี้ซบเซาไม่หวือหวา เหตุราคาทองคำสูงขึ้นมาก เกินบาทละ 10,000 บาทแล้ว เผยปีนี้ทั้งปีตัวเลขนำเข้ารวมอาจจะไม่ถึง 100 ตัน ตกลงจากปีที่แล้วที่ตลาดรวมนำเข้าทองคำสูงขึ้น 20%
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นากยกสมาคมค้าทองคำและประธานกรรมการห้างขายทองจินฮั้วเฮง เปิดเผย “ผู้จัดการรายวัน” ว่า ตลาดทองคำในปีนี้ทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในภาวะทรงตัวไม่คึกคักหรือหวือหวามากเหมือนช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยหลักมาจากราคาทองคำที่สูงขึ้น อีกทั้งค่าเงินบาทของไทยที่เริ่มแข็งขึ้นในช่วงนี้ แม้ว่าจะส่งผลให้ราคาทองคำถูกลง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นผลดีต่อผู้ซื้อ แต่ก็เป็นผลกระทบกับผู้ขายที่ได้ราคาต่ำลง แต่ท้ายที่สุดแล้วราคาทองคำก็ยังสูงอยู่ดีเมื่อเทียบกับอดีตหลายปีที่ผ่านมา โดยราคาทองคำเมื่อวานนี้อยู่ที่ระดับบาทละ 10,300-10,400 บาทและในช่วงบ่ายราคาก็ได้ตกลงมาประมาณบาทละ 50 กว่าบาท
ทั้งนี้คาดว่าปีนี้ทั้งปีในตลาดรวมจะมีการนำทองคำเข้ามาจากต่างประเทศไม่เกิน 100 ตัน ซึ่งแหล่งใหญ่ที่ไทยนำเข้าจะมาจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และออสเตรเลีย เป็นหลัก ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับหลายปีก่อน โดยปีที่แล้ว 2548 มีการนำเข้าทองคำเข้ามาในไทยทั้งหมดประมาณ 120 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ที่มีการนำเข้ามาทั้งหมดประมาณ 100 ตัน โดยก่อนนั้นประเทศไทยเคยนำเข้าทองคำมากที่สุดอยู่ที่ 150 ตันต่อปี แต่เป็นช่วงที่ราคาทองคำยังไม่สูงเท่ากับช่วงขณะนี้ที่ทะลุ บาทละ 10,000 กว่าบาทแล้ว ทั้งนี้ในเดือนมกราคมปีนี้ ยังไม่มีการนำเข้าทองคำเลย หรือถ้ามีก็ยังเป็นปริมาณที่น้อยมาก ส่วนหนึ่งที่มีการนำเข้าทองคำน้อยลงนั้นก็เพราะว่า ตลาดโลกให้ความสนใจและนิยมซื้อทองคำแท่งกันมากขึ้น ขณะที่ทองรูปพรรณนั้นมีการจำหน่ายน้อยลง ส่งผลให้ราคาต่ำลงด้วย ซึ่งเป็นกระแสทั่วโลกที่ตื่นทองตำแท่งกันมาหลายปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขณะนี้จะมีกระแสเงินไหลเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการไหลเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์นั้น อันเนื่องมาจากมีการขายหุ้นบิ๊กล้อตของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อตลาดทองคำนัก แต่กลับทำให้ราคาตกลงด้วย เนื่องจากว่าค่าเงินบาทไทยแข็งตัวขึ้น ส่วนค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐอ่อนตัวลง ขณะเดียวกันในเทศกาลในช่วงตรุษจีนปีนี้คาดว่าบรรยากาศการซื้อขายทองคำจะไม่คึกคักเหมือนช่วงปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน โดยการเติบโตคาดว่าจะไม่สูงถึง 10% เพราะราคาทองยังสูงอยู่ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ราคาทองคำอยู่ในระดับแค่บาทละ 7,000 กว่าบาทเท่านั้นเอง ขณะที่ปีนี้ทะลุ 10,000 กว่าบาทแล้ว ซึ่งยังเหลือเวลาอีกประมาณ 1-2 วันก่อนที่จะถึงวันตรุษจีนนั้นคาดว่าคงไม่ต่างจากราคาระดับนี้เท่าใดนัก
ปัจจัยที่ทำให้ตลาดทองในเวลานี้ซบซาไม่คึกคักเพราะ ราคาทองที่ยังสูงอยู่ เป็นตัวแปรสำคัญที่ให้ผู้บริโภคลังเลใจในการซื้อ หรือแม้ว่าจะซื้อทองในจำนวนวงเงินเท่าเดิม แต่ก็ได้ปริมาณทองที่น้อยลง เช่น ปีที่แล้วอาจจะซื้อ 1 บาท ปีนี้ก็อาจจะลดลงเหลือ 50 สตางค์เท่านั้น อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ยังแกว่งอยู่ทำให้คนต้องระมัดระวังในการจับจ่ายมากขึ้น
“แต่ผมมองว่าการซื้อขายก็ยังมีอยู่ไม่ถึงกับสะดุด เพราะว่าทองคำเป็นสิ่งที่คนคิดว่าดีที่สุดแล้วในการลงทุน อีกทั้งเทศกาลมงคล ซึ่งคนก็มักจะซื้อทองให้กับคนที่รัก หรือเคารพ เพื่อความเป็นมงคล ตลาดจึงไม่ถึงกับทรุดฮวบ”
สำหรับช่วงไฮซีซั่นของการขายทองนั้น นายจิตติกล่าว่า จะมีอยู่ 3 เทศกาลหลักที่ถือเป็นช่วงหน้าขายทองคือ ปีใหม่ ตรุษจีน และสงกรานต์ ซึ่งจะต้องทำยอดขายให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าหากหลุดจาก 3 เทศกาลหลักนี้แล้ว ตลาดก็จะเข้าสู่โลว์ซีซั่นส์แล้ว โอกาสที่จะทำรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายวางไว้ก็ยาก หากไม่สามารถทำยอดขายให้มากที่สุดในช่วงเทศกาลดังกล่าว
|