Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์30 มกราคม 2549
'งานประชาสัมพันธ์'เขยิบเพิ่มความสำคัญขณะที่การโฆษณาแบบเก่ากำลังเสื่อมมนตร์             
 


   
www resources

โอมเพจ บริษัท พีแอนด์จี จำกัด

   
search resources

พร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (ประเทศไทย), บจก.
Advertising and Public Relations




การประชาสัมพันธ์ (Public Relations หรือ PR) กำลังกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดอันสำคัญยิ่งยวดสำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อการโฆษณาในรูปแบบเดิมๆ กำลังเสื่อมมนตร์ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้น้อยลงทุกที

เป้าหมายของงานพีอาร์มักได้แก่การทำให้แน่ใจได้ว่าสื่อจะเผยแพร่เรื่องราวที่เราต้องการโดยเผยแพร่ไปในเชิงบวกด้วย ส่วนยุทธวิธีซึ่งใช้กันแล้วใช้กันอีกก็มี อาทิ การจัดแถลงข่าว, การส่งเรื่องราวที่ต้องการเผยแพร่ไปยังนักข่าวโดยตรง, การจัดรายการซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจ, การติดต่อจัดการให้นักข่าวมาสัมภาษณ์, รวมถึงการส่งตัวอย่างให้ไปสื่อทดลองใช้ฟรีๆ

แต่ในยามที่งานพีอาร์กำลังสร้างกำไร จากการที่งานโฆษณาเดินไปได้ลำบากอยู่เช่นนี้ พวกเขาก็กำลังนำมายุทธศาสตร์ใหม่ๆ จำนวนมากมาใช้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังหาทางเลื่อนอันดับความสำคัญของสายงานของตน ในสายตาของบริษัทธุรกิจทั้งหลาย

จวบจนถึงเวลานี้ พวกนักข่าวอย่างน้อยก็บางคน มองพวกทำงานพีอาร์ว่าเป็นตัวจุ้นหรือกระทั่งเลวร้ายกว่านั้นอีก กระนั้นก็ตาม งานพีอาร์ก็เป็นสิ่งที่ทรงประสิทธิภาพอย่างคาดไม่ถึง อย่างน้อยที่สุดนี่ก็เป็นผลการศึกษาของ พร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิล (พีแอนด์จี) กลุ่มผู้ผลิตสินค้าเพื่อผู้บริโภครายยักษ์อันดับหนึ่งของโลก

พีแอนด์จีนั้น เป็นบริษัทซึ่งพวกนักการตลาดต้องให้ความสนใจ ไม่เพียงเพราะบริษัทนี้มีงบประมาณด้านโฆษณาถึงปีละประมาณ 4,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น หากยังเนื่องจากพีแอนด์พีเป็นผู้นำด้านกลเม็ดมาร์เก็ตติ้งใหม่ล้ำสมัยมาอย่างยาวนาน อาทิ บริษัทแห่งนี้เองคือผู้ประดิษฐ์ละครทีวีหลายตอนจบ เพื่อเป็นวิธีใหม่ในการขายสินค้า

แต่ในสภาพที่ผู้คนยุคนี้โดยเฉพาะในอเมริกา เฝ้าอยู่หน้าจอทีวีกันลดน้อยลง รวมทั้งยอดจำหน่ายของหนังสือพิมพ์และนิตยสารจำนวนมากก็กำลังตกต่ำ พีแอนด์จีจึงกลายเป็นคนช่างเลือกขึ้นมาก ในเรื่องว่าจะใช้จ่ายงบโฆษณาของตนที่ไหนบ้าง ยิ่งกว่านั้น บริษัทยังเรียกร้องต้องการเห็นผลตอบแทนชนิดวัดกันได้จะจะ จากแคมเปญโฆษณาที่ทุ่มลงไป

ในผลงานศึกษาวิจัยเป็นการภายในเมื่อไม่นานมานี้ พีแอนด์จีมีข้อสรุปว่า แคมเปญพีอาร์นั้นมักให้ผลตอบแทนดีกว่าการโฆษณาในรูปแบบเดิมๆ ทั้งนี้ตามการแถลงของ ฮันส์ เบนเดอร์ ผู้จัดการฝ่ายความสัมพันธ์ภายนอกองค์การของบริษัทเอง เหตุผลสำคัญข้อหนึ่งก็คือ เมื่อเปรียบเทียบกับการตลาดรูปแบบอื่นๆ อีกมากมายแล้ว พีอาร์มีราคาถูกมาก ทั้งนี้สำหรับกรณีของพีแอนด์จี มันใช้เงินเพียงแค่เท่ากับ 1% ของงบประมาณด้านการตลาดของแบรนด์หนึ่งๆ เท่านั้นเอง

เบนเดอร์รีบออกตัวว่า บริษัทถือว่าการโฆษณาและการตลาดในรูปแบบอื่นๆ ยังคงมีความสำคัญอยู่ อย่างไรก็ตาม หากผลการศึกษาข้างต้น ทำให้พีแอนด์จีหันมาทุ่มเงินกับแคมเปญด้านพีอาร์มากขึ้นจริงๆ มันก็จะเป็นเพียงการยืนยันแนวโน้มซึ่งกำลังปรากฏขึ้นอยู่แล้ว

ยอดการใช้จ่ายด้านพีอาร์ในอเมริกากำลังเติบโตขยายตัวด้วยความเข้มแข็ง และทะลุหลัก 3,700 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ทั้งนี้ตามตัวเลขของ เวรอนิส ซูห์เลอร์ สตีเวนสัน วาณิชธนกิจในนครนิวยอร์กซึ่งชำนาญพิเศษเรื่องสื่อ เวรอนิสยังทำนายด้วยว่า การใช้จ่ายด้านพีอาร์จะขยายตัวด้วยอัตราเกือบ 9% ต่อปีทีเดียว อัตรานี้ดีกว่าตลาดรวมสำหรับการโฆษณาและการตลาด ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ามโหฬารถึง 475,000 ล้านดอลลาร์ และขยายตัวในระดับ 6.7% ต่อปี

แน่นอนทีเดียว ไม่ใช่คนที่ทำงานด้านพีอาร์ทุกคน คือพวกที่กำลังขายผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆ อันที่จริง พีอาร์เพื่อการตลาด (หรือบางทีเรียกกันว่า "แบรนด์ คอมมิวนิเคชั่น) ยังคงถูกบางคนในแวดวงมองว่า เป็นเพียงธุรกิจโฉบเฉี่ยวแต่ฉาบฉวยด้วยซ้ำ

รายงานการศึกษาในอังกฤษเมื่อเร็วๆ นี้โดย เซนเตอร์ ฟอร์ อีโคโนมิกส์ แอนด์ บิสซิเนส รีเสิร์ช พบว่า อุตสาหกรรมพีอาร์ในประเทศนั้นว่าจ้างผู้คนเอาไว้ 48,000 คน โดยที่กว่า 80% ทำงาน "อินเฮาส์" นั่นคือเป็นลูกจ้างพนักงานของบริษัทหรือองค์การต่างๆ โดยตรง และราวๆ กว่าครึ่งนิดหน่อยของบรรดาพีอาร์อินเฮาส์เหล่านี้ เป็นพวกที่ทำงานอยู่กับภาครัฐ, องค์การด้านสาธารณสุข, และองค์การกุศล มิใช่พวกเอกชนลุยขายของ แถมองค์การเหล่านี้แหละยังเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด ซึ่งมาใช้บริการของพวกสำนักงานที่ปรึกษาด้านพีอาร์

ในส่วนของพวกกิจการด้านพีอาร์โดยตรงนั้น กำลังอยู่ในยุคที่ถูกรวมศูนย์เข้าไว้ในเครือของกลุ่มยักษ์ใหญ่ไม่กี่กลุ่ม ซึ่งเวลานี้ครอบงำอุตสาหกรรมโฆษณาอยู่ กลุ่มยักษ์ใหญ่ที่ว่านี้มี 2 กลุ่มเป็นอเมริกัน ได้แก่ อินเทอร์พับลิก ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทพีอาร์ โกลินแฮร์ริส กับ เวเบอร์ แชนด์วิก และ ออมนิคอม ที่เป็นเจ้าของ เฟลชแมน-ฮิลลาร์ด กับ เคตชัม ส่วนกลุ่มยักษ์ใหญ่ฟากอังกฤษคือ ดับเบิลยูพีพี ซึ่งมีกิจการพีอาร์ในมือคือ ฮิลล์ แอนด์ โนว์ลตัน กับ เบอร์สัน-มาร์สเทลเลอร์

กลุ่มยักษ์ใหญ่เหล่านี้ยังเป็นเจ้าของกิจการพีอาร์แบบเชี่ยวชาญเฉพาะทางอีก ตัวอย่างเช่น ดับเบิลยูพีพีมี ฟินสเบอรี ซึ่งมุ่งเน้นพีอาร์ด้านภาพลักษณ์บริษัทและพีอาร์ด้านกิจการทางการเงิน ขณะที่ออมนิคอมมี คลาร์ก แอนด์ เวนสต็อก ที่รับงานดูแลบริหารจัดการชื่อเสียงภาพลักษณ์และบริหารจัดการวิกฤต และอินเทอร์พับลิกก็มี พีเอ็มเค/เอชบีเอช ซึ่งดูแลพีอาร์ด้านธุรกิจบนเทิง โดยมีลูกค้าคนดังอย่างเช่น นิโคล คิดแมน, รัสเซลล์ โครว์, และ เจนนิเฟอร์ อะนิสตัน

นอกจากนั้นยังคงมีพวกกิจการพีอาร์อิสระอีกจำนวนหนึ่ง โดยรายใหญ่ที่สุดคือ เอเดลแมน ซึ่งเป็นกิจการในครอบครัว ทั้งนี้ ริชาร์ด เอเดลแมน กรรมการผู้จัดการและซีอีโอของบริษัทนี้บอกว่า จากการศึกษาวิจัยหลายชิ้นของทางเอเดลแมนเองแสดงว่า รูปแบบการสื่อสารที่ผู้คนในเวลานี้ให้ความเชื่อถือที่สุดนั้นมาจาก "คนที่เหมือนกับตัวคุณเอง" นั่นบ่งชี้ว่าสิ่งที่บริษัทพีอาร์ต้องให้ความสนใจ (และในอีกด้านหนึ่งย่อมถือเป็นโอกาสใหม่สำหรับงานพีอาร์ด้วย) ก็คือ อิทธิพลของกลุ่มเพื่อนร่วมแวดวงร่วมอาชีพ

ตัวอย่างเช่น เอเดลแมนเองเมื่อเร็วๆ นี้ ได้งานประโคมโหมให้เกิดความสนใจขึ้นในหมู่นักเล่นเกมคอมพิวเตอร์ระดับฮาร์ดคอร์ ก่อนหน้าการเปิดตัวเครื่องเกมคอนโซล "เอ็กซ์บ็อกซ์" รุ่นใหม่ของไมโครซอฟท์

นอกจากนั้นบริษัทยังทำงานให้กับกลุ่มของอดีตผู้บริหารมอร์แกน สแตนลีย์ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วประสบความสำเร็จในการขับไล่ ฟิลิป เพอร์เซลล์ ให้ออกจากตำแหน่งซีอีโอของวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่แห่งนี้ สิ่งหนึ่งในหลายๆ สิ่งซึ่งเอเดลแมนทำขึ้นมาในงานชิ้นนี้ก็คือ การจัดตั้งเว็บไซต์ ซึ่งเปิดโอกาสให้บรรดาลูกจ้างพนักงานของมอร์แกน สแตนลีย์ ได้แสดงความคิดเห็นต่อความขัดแย้งคราวนี้

งานเหล่านี้ช่างแตกต่างไปมากเหลือเกินจากงานพีอาร์แบบคลาสสิกดั้งเดิม และ แพม ทัลบอต ประธานดูแลกิจการในสหรัฐฯของเอเดลแมนก็ชี้ว่า หากยังขืนทำอะไรแบบเดิมๆ ก็จะต้องประสบความล้มเหลวเท่านั้น

การที่ในปัจจุบันสื่อถูกแบ่งซอยกระจัดกระจายออกไป ทำให้เกิดมีวิถีทางมากมายกว่าแต่ก่อน สำหรับให้คนเราเสาะแสวงหาข่าวและความบันเทิง โดยคนหลากหลายทีเดียวกำลังหันไปหาเว็บไซต์, เคเบิลทีวี, วิทยุผ่านดาวเทียม, และ พ็อดแคสต์ ทว่าผลจากการมีสื่อมากรูปแบบเช่นนี้ก็คือ คอนเทนต์กำลังกลายเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น งานพีอาร์ที่เขียนหรือผลิตขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา เวลานี้จึงกำลังถูกนำเสนอในสื่อบางสื่อชนิดไม่ได้มีการดัดแปลงหรือตรวจสอบด้วยซ้ำ

กล่าวได้ว่า วิชาชีพทางวารสารศาสตร์ในบางแขนง กำลังพึ่งพาอาศัยข้อมูลข่าวสารและผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมพีอาร์มากขึ้นทุกที พวกนักข่าวที่โฟกัสไปยังแวดวงอิเล็กทรอนิกส์, แฟชั่น, การเดินทาง, ความงาม, และอาหาร ต่างมีความกระหายที่จะได้ตัวอย่างฟรีๆ ขณะที่ข่าวซุบซิบเกี่ยวกับคนดัง จำนวนมากทีเดียวมีอุตสาหกรรมพีอาร์นั่นแหละเป็นคนปั้นคนชงออกมา

หลักการสำคัญประการหนึ่งของงานพีอาร์ คือ ไม่ต้องกลัวที่จะเน้นย้ำสิ่งซึ่งเป็นด้านบวก ดังนั้นจึงคาดหมายได้เลยว่า อุตสาหกรรมพีอาร์จะต้องเริงร่ากับฐานะที่เขยิบสูงขึ้นมานี้ อาทิ แอล กับ ลอรา รีส พ่อกับลูกสาวที่จับคู่เป็นทีมที่ปรึกษาด้านการตลาด เขียนหนังสือที่ใช้ชื่อว่า "The Fall of Advertising & the Rise of PR" (การตกต่ำของงานโฆษณาและการผงาดขึ้นของงานพีอาร์)

แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเห็นงามเห็นดีกับกระแสเช่นนี้ไปหมด แม้กระทั่งในอุตสาหกรรมพีอาร์เองก็มีคนตั้งข้อกังขา อาทิ โดโรธี เครนชอว์ กรรมการผู้จัดการของ สแตนตัน เครนชอว์ บริษัทพีอาร์อิสระในนครนิวยอร์ก ซึ่งบอกว่า งานพีอาร์ยังคงเป็นศาสตร์ที่ไม่มีความแน่นอนอย่างยิ่ง ขณะเดียวกัน ก็ยังมีข้อจำกัดต่างๆ ที่ทำให้ไม่ปรากฏปาฏิหาริย์ซึ่งคาดว่าจะได้รับหลังจากลงแรงทำงานพีอาร์อย่างเลิศเลอไปแล้ว

เธออ้างว่าเคยปฏิเสธงานที่จะได้ค่าธรรมเนียม 1 ล้านดอลลาร์จากลูกค้ารายหนึ่งซึ่งดิ้นสุดฤทธิ์เพื่อให้เว็บไซต์แบบธุรกิจสู่ธุรกิจของเขาได้เกิด ในยุคที่บริษัทดอตคอมกำลังเฟื่องสุดขีด เนื่องจากเขาไม่ค่อยมีอะไรที่จะบอกเล่าแก่โลก

บางครั้งบริษัทพีอารืก็สามารถที่จะปรับแต่งหรือกระทั่งสร้างความปิ๊งให้แก่ผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ แต่ไม่ใช่ทำอย่างนั้นได้เสมอไป เธอชี้ว่า สิ่งที่จะนำมาทำพีอาร์ ก็ต้องมีเรื่องราวซึ่งถูกต้องใช่เลยอยู่ก่อนแล้วด้วย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us