|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ กุมภาพันธ์ 2549
|
|
เมื่อเอ่ยชื่อ Bono ต้องบอกว่ามีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชื่อของเขา จากนักร้องชื่อดังของวง U2 สู่ภาพลักษณ์ในวันนี้ของ Bono ที่ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ร็อกสตาร์ในวงการบันเทิงเท่านั้น เขาได้กลายเป็นดาวเด่นในดวงใจของผู้ยากไร้ทั่วโลกอีกด้วย...เมื่อช่วงต้นปีของปีที่ผ่านมา มีข่าวลือหนาหูว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเสนอชื่อเข้ารับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ยิ่งกว่านั้น ในช่วงที่มีการเปิดรับสมัครตำแหน่งประธานธนาคารโลก หนังสือพิมพ์ Los Angeles Times ยังสนับสนุนให้เขาเข้าสมัครเป็นประธานธนาคารโลกคนใหม่ และล่าสุด นิตยสารไทม์ประกาศชื่อเขาเป็นหนึ่งในบุคคลแห่งปี 2005 ร่วมกับ Bill และ Melinda Gates...แน่นอน ชีวิตเขาย่อมไม่ธรรมดา... มารู้จักแง่มุมชีวิตบางส่วนของเขากันดีกว่า...
เด็กชาย Bono หรือชื่อจริงๆ ว่า Paul David Hewson เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 1960 ในเมือง Dublin ประเทศ Ireland ส่วนสมญานาม Bono นั้นมาจากเต็มๆ ว่า "Bono Vox of the O'Connell St." ซึ่งเป็นชื่อของร้านขายเครื่องช่วยฟังเสียง ที่เขาต้องเดินผ่านทุกวันและไม่ไกลจากถนน O'Connell และ Bono Vox ยังเป็นแบรนด์เนมของเครื่องช่วยฟัง มาจากภาษาละตินหมายความว่า "เสียงดี" และภาษาสแลงในอิตาลีหมายถึง "เซ็กซี่" แต่ที่เพื่อนตั้งให้เขา เนื่องจากเขาชอบตะโกนร้องเพลงเสียงดัง เหมือนร้องให้คนหูตึงฟัง
Bono เติบโตมาในครอบครัวชั้นกลางที่เคร่งศาสนา พ่อของเขานับถือโรมันคาทอลิก ส่วนแม่นับถือโปรเตสแตนต์ แต่เขาก็ไม่เลือกว่าจะเป็นตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ชีวิตในวัยรุ่นของ Bono ค่อนข้างสับสน และไม่ราบรื่นเท่าที่ควร แม้ว่าเขาจะเป็นเด็กที่ฉลาดคนหนึ่ง แต่เขาไม่ประสบความสำเร็จทางด้านการเรียน เขาสนใจโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสิ่งเย้ายวนใจไปในทางไม่สู้จะดีนัก แต่ไม่ถึงขั้นร้ายแรงแค่อยากแสดงความเป็นลูกผู้ชายในด้านการใช้กำลังเตะต่อยกันบ้างระหว่างแก๊งเท่านั้น
ความสัมพันธ์ระหว่าง Bono กับพ่อของเขาเป็นแบบเส้นขนานสองเส้นที่ไม่มีทางมาบรรจบกัน แต่ทั้งสองมีความฝันที่เหมือนกันคือ อยากเป็นนักดนตรี ในขณะที่ Bono เป็นหนุ่มช่างฝัน ช่างจินตนาการแบบใหญ่ๆ โตๆ เสียด้วย พ่อของเขาจะคอยกระตุกเขาให้ตื่นจากความฝัน และไม่เคยสนับสนุนให้ Bono เป็นนักดนตรี แถมยังสบประมาทอีกว่า ถ้าเขามีวงดนตรี ก็จะเล่นได้เพียงแค่ 5 นาที 10 นาทีเท่านั้น แทนที่ Bono จะล้มเลิกความฝัน เขากลับหันมาเอาดีทางด้านดนตรี ซึ่งถือเป็นทางเลือกสุดท้ายในตอนนั้น ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะลงเอยอย่างไร แต่วันนี้เขาพิสูจน์แล้วว่า ไม่มีฝันไหนที่จะเป็นไปไม่ได้...
จากคำสัมภาษณ์ของ Bono ในนิตยสาร The Rolling Stone เขากล่าวว่า เพลง "I want to hold you hand." ของวง The Beatles เป็นเพลงร็อกแอนด์โรลเพลงแรกที่เขาได้ยินและประทับใจมาตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ ตอน 8 ขวบเริ่มชื่นชม Tom Jones ผู้มีพลังเสียงที่ก้องกังวาน และแน่นอน Elvis Presley เป็นอีกคนหนึ่งที่เขาทึ่งในผลงาน แต่ เพลงที่เรียกได้ว่าเป็นแรงบันดาลใจที่สุดให้กับ Bono ในวัยนั้นคือ เพลง Imagine ที่ John Lennon สร้างไว้เป็นอมตะจนทุกวันนี้ ต่อจาก นั้นก็เริ่มหลงใหลในวงร็อกมากขึ้น ตั้งแต่ The Who The Rolling Stone และ Led Zeppelin ส่วนเพลงโฟล์กต้องเป็น Bob Dylan แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากพ่อ แต่ เขายังมีพี่ชายที่เป็นผู้หนึ่งที่ช่วยสอนเขาในเรื่องของดนตรีแบบฝึกแกะโน้ตเล่นกีตาร์กันเองสองพี่น้อง และเพลงแรกที่เขาเล่นได้ คือ เพลงโฟล์ก "If I had a hammer." เป็นเพลงเก่ามากที่เขายังจำได้ดี
ต่อมาในปี 1976 Bono เห็นโฆษณาต้องการสมาชิกร่วมวงดนตรีที่ปิดประกาศโดย Larry Mullen Jr. (มือกลองของ U2) Bono ไม่รอช้าเข้าร่วมเป็นสมาชิกตามมาด้วย Dave Evan หรือ The Edge ที่รู้จักกันดี ร่วมด้วย Dik Evan ซึ่งเป็นน้องชายของ The Edge (ซึ่งไม่นานก็แยกตัวออกไปด้วยเหตุที่ว่า อายุยังน้อย ไม่เหมาะสมที่จะมาเล่น ดนตรีในบาร์) และ Adam Clayton มือเบส จากเดิมพวกเขาใช้ชื่อวงว่า "Feed-back" และเปลี่ยนมาเป็น "The Hype" และในที่สุด ก็ลงตัวที่ "U2"
ในปี 1982 Bono สมรสกับ Alison Stewart หวานใจที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเป็น นักเรียน ทั้งคู่มีลูกสาว 2 คนและลูกชาย 2 คน และเมื่อต้นปี 2005 ทั้งสองได้เปิดตัวเสื้อผ้าแบรนด์ "EDUN" ซึ่งเป็นเสื้อผ้าที่ผลิตโดยโรงงานในอเมริกาใต้และแอฟริกา เพื่อเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับผู้ยากไร้อีกทางหนึ่ง
Bono เริ่มมีบทบาทในการช่วยเหลือสังคมผู้ยากไร้ในแอฟริกา ตั้งแต่ปี 1984 เมื่อ เขาปรากฏตัวในคอนเสิร์ตการกุศลที่ชื่อว่า "Band Aid ซึ่งเป็นการร่วมใจกันของนักดนตรี ชาวอังกฤษและชาวไอริชชื่อดังในการหาเงินช่วยเหลือชาวเอธิโอเปีย และเขาเข้าร่วมแสดง อีกครั้งเมื่อปีที่แล้วในงาน "Band Aid 20" นอกจากนี้เขายังร่วมแสดงในคอนเสิร์ต "Live Aid" ในปี 1985 ซึ่งเป็นอีกคอนเสิร์ตการกุศล ที่ประสบความสำเร็จมาก และอีกครั้งเมื่อปีที่แล้วในคอนเสิร์ต "Live 8" ซึ่งในครั้งนี้เป็นโครงการรณรงค์เพื่อขจัดความยากจนให้หมดไปจากโลก หรือ Make Poverty History
ในปี 1999 Bono เริ่มมีส่วนร่วมทางการกุศลมากขึ้น โดยเฉพาะในการรณรงค์ปลดหนี้ให้ประเทศยากจนและเหตุการณ์ที่ทำให้เขากลายมาเป็นที่สนใจมากขึ้นในกรณีนี้คือ การที่เขาเข้าเจรจากับผู้นำระดับโลกในหลายประเทศ เช่น เชิญ Paul O'Neill เลขาธิการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ให้ไปเยือนประเทศในแอฟริกาได้สำเร็จ เมื่อปี 2002 และในปีเดียวกันนั้น เขาได้ก่อตั้งองค์กร Debt, AIDS, Trade in Africa หรือ DATA ขึ้น เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนและผู้นำของประเทศร่ำรวยทั้งหลายหันมาตื่นตัวและให้ความสำคัญ กับปัญหาที่แอฟริกากำลังเผชิญอยู่ ทั้งหนี้ที่ล้นประเทศ โรคร้ายที่ไม่สามารถควบคุมได้ จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก และการค้าที่ไม่เป็นธรรม... กิจกรรมเหล่านี้ของเขายังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ปัจจุบันมีซิลิบริตี้ ดาราฮอลลีวู้ดอีกหลายคนที่เข้ามาร่วมงานกับเขา เช่น Brad Pitt และ George Clooney เป็นต้น
นี่เป็นเพียงเรื่องราวบางมุมของจากนักร้องนักดนตรี นามว่า "Bono" ผู้กลายมาเป็นนักรณรงค์ที่สำคัญคนหนึ่งในการผลักดันให้ผู้นำโลกให้ลงมือปฏิบัติตามนโยบายปลดหนี้ให้ประเทศยากจน และกระตุ้นให้ประเทศ ที่ร่ำรวย โดยเฉพาะอเมริกาหันมาบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือประเทศยากจนให้มากขึ้น... อย่างน้อยความพยายามของเขาและเพื่อนๆยังช่วยให้โลกใบนี้ยังคงมีความหวังเหลืออยู่บ้าง...
ว่าแล้วก็เริ่มฮัมเพลง New Year's Day...
"All is quiet on New Year's Day
A world in white gets underway
I want to be with you
Be with you night and day
Nothing changes on New Year's Day
I will be with you again
I will be with you again..."
|
|
|
|
|