บูติกสุดหรูของญาฟริโร่ (Yafriro) ที่สยามพารากอน ดึงดูดสายตาผู้คนที่ผ่านไปมา ให้เข้าไปสัมผัสกับเรื่องราวของนาฬิกาแบรนด์ดัง ที่มีดีไซน์และกลไกสลับซับซ้อนภายใน
จากประตูไม้บานใหญ่เมื่อมองผ่านพรมทอมือทั้งผืนสีเหลืองบุศราคัมเข้าไป ทำให้ร้านขายนาฬิกาแห่งนี้ยิ่งดูโอ่อ่า มลังเมลือง
ดีไซเนอร์เลือกใช้สีน้ำเงินและดำเป็นส่วนประกอบ เพิ่มความเคร่งขรึม แลดูคลาสสิกเข้าไปอีก ในขณะที่ดวงไฟช่อใหญ่ที่สั่งตรงมาจากกรุง Prague สาธารณรัฐเช็ก สาดแสงจ้าทั่วห้อง
จากชั้นล่างมีบันไดวน 2 ด้าน ไปยังชั้นบน จบลงตรงที่โต๊ะตัวใหญ่สำหรับรับรองลูกค้าเอ็กซ์คลูซีฟ
ญาฟริโร่เป็นตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ดังจากประเทศสิงคโปร์ โดย มร.อีวาน ฮิว ชาวมาเลเซีย ซึ่งเริ่มต้นชีวิตทำงานเป็นลูกมือฝึกหัดของร้านตัดเสื้อ ก่อนจะก่อตั้งร้านตัดเสื้อของตนเอง ชื่อ "Iwan Creations" ในปี 2521 จากการใส่ใจในรายละเอียดทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างมาก และด้วยความที่เป็นคนมีรสนิยมสูง และหลงใหลในเสน่ห์ของนาฬิกา ได้จุดประกายความคิดของเขาในการลงทุนในธุรกิจนาฬิกาที่มีเอกลักษณ์ เมื่อประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา ในปี 2545 เขาได้ริเริ่มสร้างแบรนด์ของตนเอง ภายใต้ชื่อ Yafriro Celebrer Le Temps ที่ศูนย์การค้าพารากอน ประเทศสิงคโปร์
สาขาใหม่ล่าสุด สยามพารากอน ประเทศไทย ได้ใช้เงินลงทุนถึง 50 ล้านบาท เพื่อการตกแต่งในพื้นที่ 212 ตร.ม. ซึ่งใหญ่กว่าทุกสาขาที่เคยมีมาคือที่ประเทศสิงคโปร์ ศูนย์การค้าสตาร์ฮิลล์ ในประเทศมาเลเซีย และในแกรนด์ไฮแอท แกลเลอเรีย ประเทศอินโดนีเซีย
นาฬิกาแบบเอ็กซ์คลูซีพ และไฮเอนด์ที่คัดสรรแล้วทั้ง 12 แบรนด์ จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเรื่องของความแปลกใหม่ของการออกแบบนวัตกรรมที่ท้าทายเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และมีเฉพาะประเภทที่ผลิตแบบจำกัดจำนวน (Limited Production) และแบบจำกัดจำนวน (Limited Edition) เช่น แบรนด์ Greubel Forsey ผลิตนาฬิกาเพียง 20 เรือนต่อปีเท่านั้น
12 แบรนด์ที่มอบความไว้วางใจ และสิทธิ์ในการจำหน่าย ได้แก่ Parmigiani Fleurier จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ Dewitt จากประเทศฝรั่งเศส Bovet ที่มีประวัติยาวนานกว่า 180 ปี และเป็นกลุ่มของแบรนด์ที่บ่งบอกของบุคลิกแห่งความประณีตและหรูหรา deLaCour, B.RM, Jacob & Co นาฬิกาที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถสปอร์ต เน้นความมีเทรนดี้ และมีสไตล์ Greubel Forsey, Michel Jordi, Hautlence, Vincent Berard, HD3 และ Jean Dunand ซึ่งโดดเด่นในเชิงนวัตกรรม
ผู้บริหารของญาฟริโร่บอกว่า ทั้ง 12 แบรนด์ มีระดับราคาต่ำสุดอยู่ที่เรือนละ 250,000 บาท ถึงราคาเรือนละ 20 ล้านบาท ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือเน้นเจาะกลุ่มตลาดคนไทยถึง 80% ด้วยกัน โดยหวังลูกค้าจากต่างประเทศเพียง 20% โดยปีแรกตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 150-200 เรือน
|