Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน26 มกราคม 2549
บสท.งัดกลยุทธ์ขายNPAหมื่นล.คุยผลงาน4ปีหนี้ได้ข้อยุติ100%             
 


   
www resources

โฮมเพจ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย

   
search resources

บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
สมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ
Loan




“บสท.”โชว์ผลดำเนินงาน 4 ปี เจรจาได้ข้อยุติ100% ลูกหนี้ยอมเข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ 73% ไถ่ถอนตั๋วอาวัล ลดหนี้สาธารณะแล้ว 7.3 หมื่นล้านบาท พร้อมกันเงินชำระดอกเบี้ยตั๋วอาวัลอีก 2,000 ล้านบาทในเดือน มี.ค.นี้ ขณะที่เดินหน้าฟ้องร้องดำเนินคดี-นำทรัพย์ดีกลับเข้าระบบอีก 4-5 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าปีนี้จำหน่ายเอ็นพีเออีกหมื่นล้านบาท

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ บสท.เปิดดำเนินงานเป็นเวลา 4 ปีเศษ ได้บรรลุวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพ โดย ณ สิ้นปี 2548 ได้บริหารจัดการหนี้ที่ได้รับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินจนมีข้อยุติแล้ว 15,279 ราย มูลค่าทางบัญชี 772,260 ล้านบาท คิดเป็น 99.37%ของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ได้รับโอนมาทั้งหมด จำนวน 15,285 ราย มูลหนี้ทางบัญชี 777,179 ล้านบาท

โดยเป็นการยุติด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 8,013 ราย มูลค่าทางบัญชีกว่า 560,056 ล้านบาท หรือคิดเป็น 72.52% ของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีข้อยุติ ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับการจัดการของสถาบันการเงิน ซึ่งในจำนวนลูกหนี้ดังกล่าว มี 1,363 ราย คิดเป็นมูลค่าทางบัญชีประมาณ 46,409 ล้านบาท สามารถหาแหล่งเงินจากสถาบันการเงินและจากแหล่งเงินอื่นมาชำระหนี้เพื่อปิดบัญชีกับ บสท.เรียบร้อย สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลให้มีการลงทุนและจ้างงานเพิ่ม เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม

ขณะที่ ยังมีลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้อีก 6 ราย คือ บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ(BTS) มูลหนี้กว่า 3,920 ล้านบาท ส่วนอีก 5 รายที่เหลือเป็นลูกหนี้รายย่อย ซึ่งโอนเข้ามาระหว่างปี 2548 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส1 ปี 2549

สำหรับที่เหลือเป็นการบังคับหลักประกัน จำนวน 7,266 ราย ซึ่งในส่วนนี้ บสท.ได้พยายามติดต่อให้มาชำระหนี้มาโดยตลอด แต่เมื่อลูกหนี้เหล่านี้ไม่ให้ความร่วมมือ บสท.ก็ต้องดำเนินการบังคับหลักประกันเพื่อให้การปรับโครงสร้างหนี้ได้ข้อยุติ ซึ่งมีสินทรัพย์หลักประกันประมาณ 40,000 -50,000 ล้านบาทที่ บสท.ต้องดำเนินการฟ้องร้องบังคับคดี และนำมาขายให้กับผู้ที่ต้องการนำไปสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจต่อไป อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีลูกหนี้บางส่วนที่ขอเจรจาปรับโครงสร้างหนี้หลังถูกฟ้องร้องดำเนินคดี

นายสมเจตน์ กล่าวว่า นอกจากการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว บสท. ยังได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ต้องการหาสินเชื่อใหม่ จากสถาบันการเงินทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่ง บสท.จะเป็นผู้ประสานระหว่างลูกหนี้และสถาบันการเงินเกือบทุกราย โดยเฉพาะธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) และธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอีแบงก์) โดยให้สถาบันการเงินผู้ปล่อยสินเชื่อใหม่จดจำนองหลักประกันเป็นลำดับที่ 1 ในการขอสินเชื่อ กล่าวคือ สถาบันการเงินผู้ปล่อยสินเชื่อใหม่ จะได้รับการชำระคืนหนี้เป็นอันดับแรก หากลูกหนี้ประสบปัญหาจนต้องบังคับขายหลักประกัน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บสท. ได้ประสานกับสถาบันการเงินเพื่อหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนให้กับลูกหนี้ที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แล้วจำนวน 30 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อใหม่ประมาณ 1,495 ล้านบาท ในจำนวนนี้ มี 8 ราย ได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินแล้วประมาณ 377 ล้านบาท ที่เหลือยู่ระหว่างดำเนินการ

นอกจากนี้ ในการปฏิบัติตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ บสท.ได้รับชำระหนี้เป็นเงินสดจำนวน 80,374 ล้านบาท และเงินรับจากการบริหารและขายทรัพย์สินรอการขายจำนวน 12,786 ล้านบาท โดย บสท.ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวส่วนหนึ่งไปไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินจากการที่ บสท.รับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 777,179 ล้านบาท ด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินไป 264,967 ล้านบาท

โดยจนถึงขณะนี้ บสท.ได้ดำเนินการไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินในส่วนของเงินต้น 72,629 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 27.41% ของตั๋วสัญญาใช้เงินในส่วนของเงินต้นทั้งหมดที่ บสท.ออกให้สถาบันการเงินผู้โอน และชำระดอกเบี้ย 10,959 ล้านบาท ซึ่งการไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว จะเป็นการลดภาระหนี้สินและดอกเบี้ยของ บสท. และ ช่วยลดภาระหนี้สาธารณะที่เกิดจากการอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินด้วย

“ตอนนี้เรากันเงินสำรองอีกกว่า 2,000 ล้านบาท สำหรับไว้ไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินสำหรับดอกเบี้ยค้างจ่ายในปี 2548 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรอตัวเลขที่ชัดเจน ซึ่งต้องรอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศอัตราดอกเบี้ยถัวเฉลี่ยเงินฝากของ 5 ธนาคารพาณิชย์ คาดว่าสิ้นเดือนมีนาคม จะได้ตัวเลขที่ชัดเจน”

นายสมเจตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการปรับโครงสร้างหนี้ บสท.และสถาบันการเงินผู้โอนหนี้ จะแบ่งผลประโยชน์กันดังนี้ กำไร 20% แรกจะแบ่งกันคนละครึ่ง แต่หากขาดทุน 20% แรกสถาบันการเงินจะเป็นผู้รับ 20% ถัดมา แบ่งกันรับคนละครึ่ง และที่เหลือรัฐบาลรับทั้งหมด ซึ่งจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา พบว่ามีอัตราส่วนผลตอบแทนที่ได้กลับมาจากการปรับโครงสร้างหนี้(recovery rate) ประมาณ 47-48% จากต้นทุนประมาณ 34% ดังนั้นจึงเชื่อว่าไม่น่าจะขาดทุนหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว

ในส่วนของทรัพย์สินรอการขาย(เอ็นพีเอ)ที่ได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ ประมาณ 53,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2548 บสท.ได้จำหน่ายไปแล้ว จำนวน 12,300 ล้านบาท โดยจากการสอบถามข้อมูลจากนักลงทุนที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจาก บสท.ไปจำนวน 342 ราย เบื้องต้นพบว่า ใน 2-3 ปี ข้างหน้า ผู้ลงทุน 88 ราย มีแผนการลงทุนเพิ่มเพื่อก่อสร้างโครงการต่างๆ คิดเป็นเม็ดเงินรวมไม่ต่ำกว่า 9,300 ล้านบาท

ประกอบด้วยโครงการจัดสรรเพื่อที่อยู่อาศัยประมาณ 5,700 ล้านบาท โครงการเพื่ออุตสาหกรรมประมาณ 1,300 ล้านบาท โครงการที่จะพัฒนาเป็นสำนักงานประมาณ 1,200 ล้านบาท และโครงการพาริชย์ขนาดย่อมประมาณ 1,100 ล้านบาท นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่ทำให้ทรัพย์สินมีมูลค่าเพิ่มขึ้นและได้นำไปใช้ประโยชน์ในระบบเศรษฐกิจ

“ที่ผ่านมาเราใช้วิธีแบ่งประเภทของสินทรัพย์เป็นกลุ่มๆ แล้วเดินสายโรดโชว์ ส่วนในปีนี้ เราก็จะมีกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อผลักดันให้มีผู้ซื้อเอ็นพีเอไปสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งภายใน 1-3 เดือน ข้างหน้า จะมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนออกมา คาดว่าภายในปีนี้ น่าจะจำหน่ายได้อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท”   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us