TTA รุกธุรกิจพลังงาน ซื้อหุ้น เมอร์เมด มาริไทม์ เพิ่มเป็น 63.14% หวังหนุนรายได้โตต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงการดำเนินงาน เชื่อเป็นช่วงขาขึ้น ขณะที่ธุรกิจเดินเรือเริ่มแผ่ว คาดผลงานปีนี้อาจลดลง เนื่องจากแนวโน้มค่าระวางเรือตกตามภาวะอุตสาหกรรม แจงราคาหุ้นรูดตามภาวะตลาด แต่มาร์เก็ตแชร์ยังสูงเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการเดินเรือรายอื่น เตรียมเดินสายโรดโชว์กลางปีนี้ เตรียมจ่ายปันผลเพิ่มอีก 1.50 บาท หลังปันผลระหว่างกาลแล้ว 2 บาท
ม.ล.จันทรจุฑา จันทรทัต กรรมการผู้จัดการ บมจ. โทรีเซนไทย เอเยนซีส์ (TTA) กล่าวว่าบริษัทได้รุกธุรกิจเกี่ยวกับพลังงาน โดยลงทุนเพิ่มใน บริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (MML) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เมอร์เมดมาริไทม์ จำกัด (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TTA) ด้วยเงิน 1,174 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็น 63.14% โดยบริษัทที่ลงทุนเพิ่มนี้เป็นบริษัทดำเนินงานด้านพาณิชย์นาวีนอกชายฝั่งและให้บริการเฉพาะทางมากว่า 20 ปี
ล่าสุด MML ยังได้ขยายส่วนงานที่เกี่ยวงานเทคนิค ติดตั้งโครงสร้างใต้ทะเล และให้บริการขุดเจาะปิโตรเลียมนอกชายฝั่ง โดย TTA กู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศอีก 2,214 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อเรือยนต์เพื่อการปฎิบัติงานเทคนิคใต้น้ำ 2 ลำ และเรือขุดเจาะทะเลอีก 2 ลำ ให้เรือ MTR-1 และ MTR-2 ในเดือนเมษายนและกรกฎาคม48 อันจะทำให้สามารถขยายงานด้านการให้บริการแก่กิจการอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งแถบเอเชียได้ครบวงจรยิ่งขึ้น
" เรือขุดเจาะปิโตรเลียมกลางทะเล 2 ลำ ของ MML ได้ทำสัญญากับบริษัทผู้ผลิตนำมันรายใหญ่ เช่าให้บริการเรือไปจนถึงปี 50-52 ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ระยะยาว และผลตอบแทนจากการลงทุนดังกล่าวจะเห็นผลในงบการเงินปีนี้ " ม.ล.จันทรจุฑา
โดยการที่ TTA หันไปเน้นธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานมากขึ้น เพราะมองเห็นว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เป็นปัจจัยที่จะกระตุ้นให้การลงทุนผลิตน้ำมันนอกชายฝั่งทะเล และธุรกิจด้านนี้ยังคงแข็งแกร่งและเติบโตยิ่งขึ้นในอนาคต และรองรับการเติบโตของธุรกิจน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและปิโตรเคมีในภูมิภาคนี้ด้วย ที่สำคัญเป็นการลดความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อิงเพียงการเดินเรืออย่างเดียว
นอกจากนี้ TTA ยังจะศึกษาที่จะลงทุนในธุรกิจอื่นเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากการให้บริการขนส่งทางทะเล และต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิมที่ดำเนินการอยู่ เช่น การสร้างคลังสินค้า ท่าเรือ เป็นต้น แต่ยังสรุปไม่ได้ว่าการลงทุนในลำดับต่อไปนั้นจะเป็นการลงทุนธุรกิจใด
สำหรับเรือที่ซื้อจาก เมอร์เมด ออฟชอร์ เซอร์วิสเซส จะเปลี่ยนชื่อเป็น "เมอร์เมด เพอร์ฟอร์เมอร์ " ซึ่งเรือดังกล่าวนี้มีมูลค่ารวม 3,100,000 ดอลล่าร์สหรัฐเมริกา หรือเทียบเป็นเงินไทยประมาณ 121,861,000 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา เท่ากับ 39.31 บาท) โดยราคาที่ซื้อเป็นไปตามราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ซึ่งเรือลำนี้ได้มอบแล้วเมื่อ 24 มกราคมปีนี้
จากการลงทุนเพิ่มขึ้น จะทำให้บริษัทต้องรับรู้ผลการดำเนินงานของบริษัทใหม่เข้ามาเพิ่ม รวมทั้งหนี้สินด้วย ซึ่งขณะนี้ยังประเมินไม่ได้ว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาเพียงใด แต่แนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ ของ TTA จะลดลงจากปีก่อนที่บริษัทมีรายได้ 14,518 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 5,948 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าระวางเรือมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้ค่าระวางเรือเฉลี่ย อยู่ที่ 1.3 หมื่นดอลล่าร์สหรัฐต่อวันเดินเรือลดลงจากปีก่อนที่ค่าระวางเรือเฉลี่ย อยู่ที่ 1.7 -1.8 หมื่นดอลลาร์สหรัฐต่อวันเดินเรือ
อย่างไรก็ตาม TTA ยังมั่นใจได้ว่า ปีนี้บริษัทยังจะจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เหมือนที่ผ่านมา โดยบริษัทจะจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้น 30 มกราคมนี้ ซึ่งแนวโน้มการจ่ายปันผลจะลดลงจากปีก่อน แม้ว่าก่อนหน้านี้บริษัทจะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 2 บาท ก็ตาม โดยบอร์ดบริษัทอนุมัติการจ่ายปันผลเพิ่มอีกหุ้นละ 1.50 บาท หรืออยู่ที่ 38% ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานของบริษัท ขณะที่ปีก่อนหน้าปันผลถึง 68%
ม.ล.จันทรจุฑายังกล่าวถึงการที่ราคาหุ้น TTA ปรับลดลงในปีนี้ว่างน่าจะเป็นผลมาจากภาวะโดยรวมของตลาดไม่ค่อยดี และในตลาดต่างประเทศก็ลงหมด แต่เมื่อเทียบกับหุ้นเดินเรือตัวอื่น ๆในกลุ่มอย่าง TTA และ RCL แล้ว TTA จะมีมาร์เก็ตแคปสูงที่สุด ขณะที่รายชื่อผู้ถือหุ้นของ TTA มีเกือบ 3 หมื่นราย และมีบอร์มินีรวมอยู่ด้วย สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทมหาชนอย่างแท้จริง เพราะไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เลย จึงทำให้เข้าลงทุนง่าย สภาพคล่องก็มีมาก การจ่ายปันผลก็อยู่ในระดับที่ถือว่าใช้ได้
" ในฐานะผู้บริหารก็จะดำเนินการธุรกิจเพื่อสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าหากทางบริษัทฯ มีการเพิ่มสินทรัพย์ใหม่ โดยการหาสินค้าและลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น ก็จะสะท้อนผลดีไปยังราคาหุ้นเช่นกัน " ม.ล.จันทรจุฑากล่าว
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะนำเสนอข้อมูลให้แก่นักลงทุน (โรดโชว์) เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะเริ่มเดินสายในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมนี้ เน้นไปในยุโรป รวมถึงสหรัฐฯและสิงคโปร์ด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้นตลอดจนนักลงทุนทั่วไป
|