Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน25 มกราคม 2549
เมอร์ชั่นฯเปิดห้องค้า2-3แห่งปีนี้             
 


   
search resources

Funds
เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์, บจก.




บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ตั้งเป้าภายใน 2 ปีข้างหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มุ่งเน้นจับลูกค้ารายย่อยระดับสูงที่มีพอร์ตซื้อขายในระดับไม่ต่ำกว่า10-20 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ปีนี้อยู่ในระดับ 0.5% พร้อมเปิดทางให้พันธมิตรต่างประเทศเข้าร่วมถือหุ้นหรือร่วมทำธุรกิจเตรียมดันหุ้นใหม่เข้าระดมทุน 2-3 บริษัท

นายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใน 2 ปีข้างหน้าเพราะการเป็นบริษัทจดทะเบียนจะทำให้มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำและสามารถนำเงินไปขยายธุรกิจได้โดยขณะนี้จะต้องรอให้บริษัทมีความพร้อมในด้านต่างๆ เสียก่อนหลังจากที่บริษัทเพิ่งเปิดให้บริการได้ไม่ถึงปีรวมถึงจะต้องรอจังหวะภาวะตลาดหุ้นที่เอื้ออำนวยอีกด้วย

สำหรับแผนงานในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีมาร์เกตแชร์ในธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ประมาณ 0.5% จากปัจจุบันนี้อยู่ที่ระดับ 0.1%และมีลูกค้าเปิดบัญชีประมาณ 200-300 บัญชีและตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีนี้จำนวนบัญชีจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวโดยฐานลูกค้าของบริษัท 90% จะเป็นนักลงทุนรายย่อย ซึ่งบริษัทจะมุ่งเน้นนักลงทุนรายย่อยที่มีกำลังซื้อมากซึ่งจะมีพอร์ตการซื้อขายขั้นต่ำในระดับประมาณ 10-20 ล้านบาท ส่วนสัดส่วนอีก 10% จะเป็นนักลงทุนประเภทกองทุนต่างประเทศซึ่งบริษัทมีกลุ่มเป้าหมายจะเป็นกองทุนที่มีขนาดเล็กที่มีขนาดประมาณ 10-20 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็น 400-800 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นกองทุนจากยุโรป สหรัฐและเอเซียโดยกองทุนเหล่านี้บริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ๆ อาจจะให้ความสนใจไม่มากนัก

นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาบริการค้าหลักทรัพย์แห่งแรกที่เยาวราชภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้และคาดว่าทั้งปีจะเปิดสาขาบริการค้าหลักทรัพย์ได้ประมาณ 2-3 แห่ง ซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทมีมาร์เกตแชร์เพิ่มมากขึ้น ส่วนในด้านธุรกิจด้านวาณิชธนกิจนั้นขณะนี้บริษัทได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 5 บริษัท ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำเข้าจดทะเบียนภายในปีนี้จำนวน 2-3 บริษัทซึ่งจะมีขนาดระดมทุนโดยเฉลี่ยประมาณ 500 ล้านบาทคาดว่าบริษัทแรกที่จะเข้าจดทะเบียนประมาณปลายไตรมาสแรกหรือต้นไตรมาส 2 นี้

นายเกษมสิทธิ์กล่าวว่าในส่วนของงานวิจัยนั้นบริษัทจะพิจารณาจากภาพรวมเศรษฐกิจว่าเป็นอย่างไรเช่นในช่วงที่ถ้าเป็นช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงก็จะมองว่าหุ้นกลุ่มใดที่ได้รับประโยชน์ เช่นกลุ่มส่งออกซึ่งก็จะพิจารณาว่าหุ้นกลุ่มส่งออกบริษัทใดที่มีความน่าสนใจเข้าไปลงทุนเป็นต้นและบริษัทยังมีแผนที่จะร่วมงานวิจัยกับบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเจรจากับบริษัทหลักทรัพย์จากสิงคโปร์1 แห่ง และฮ่องกง 2 แห่ง

นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาก็มีสถาบันการเงินจากต่างประเทศหลายแห่งติดต่อมายังบริษัทเพื่อที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจซึ่งจะมีทั้งในลักษณะของการเข้ามาร่วมทุน หรือจะเป็นลักษณะร่วมทำธุรกิจเท่านั้น ซึ่งบล.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ พร้อมเปิดกว้างเสมอซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการตกลงเจรจาร่วมกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง

นายธรรมนูญ อานันโทโทย กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัดกล่าวว่าการเปิดเสรีทางการค้าหรือเอฟทีเอเชื่อว่าไม่น่ากังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลักทรัพย์มากนัก ถ้าเป็นลักษณะทยอยเปิดเสรีเพราะปัจจุบันนี้บริษัทหลักทรัพย์ของไทย 37แห่งถ้าพิจารณาส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ซึ่งมีจำนวนรวม 1.3หมื่นล้านบาทและคิดเป็น 67% ที่เป็นของต่างประเทศ และการเปิดเสรีจะทำให้เกิดความร่วมมือในธุรกิจมากยิ่งขึ้นซึ่งอาจจะทำให้บริษัทหลักทรัพย์หลักทรัพย์ของไทยร่วมกับสถาบันการเงินต่างประเทศมากยิ่งขึ้นก็ได้

ทั้งนี้เชื่อว่าอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ของไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมากเมื่อพิจารณาจากตัวเลขบัญชีที่เปิดซื้อขายหุ้นในปัจจุบันที่อยู่ในระดับ4.3 แสนบัญชี ขณะที่ประชากรของไทยทั้งประเทศมีจำนวน 62ล้านคนดังนั้นจึงเห็นได้ว่ามีคนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไม่ถึง 1% ดังนั้นจะต้องทำให้คนมองว่าตลาดหุ้นเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการลงทุนซึ่งที่ผ่านมานโยบายของรัฐบาลก็พยายามที่จะสนับสนุนให้คนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us