ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ เผยผลงานปี 2548 กำไรสุทธิ 2.8 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อนเกือบ 11% เหตุจากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยลดลงจากปีก่อน แม้จะมีรายได้จากการขายสูงเกือบ 2.5 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 6%
นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPC กล่าวถึง ผลการดำเนินงานประจำปี สิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2548 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,820.40 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.22 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 3,152.03 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.60 บาท หรือกำไรสุทธิลดลงจากปีก่อน 10.52%
ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและจากการให้บริการรวม 24,754 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,303 ล้านบาท หรือ 6% มีผลจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณขาย ขณะที่กำไรสุทธิลดลงเกิดจากการปรับตัวลดลงของราคาพีวีซี ในขณะที่ราคาต้นทุนวัตถุดิบหลักคือ เอทธิลีน ราคาเฉลี่ยอยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อนสืบเนื่องจากผลของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
นายคเณศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ราคาขายเฉลี่ยพีวีซีปรับตัวลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยลดลงจาก 963 $/MT เป็น 846 $/MT ราคาวีซีเอ็มปรับตัวลดลงมากกว่าราคาพีวีซีจาก 825 $/MT เป็น 645 $/MT เนื่องจากความต้องการในจีนอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว รวมถึงการปรับลดราคาลงของผู้ผลิตพีวีซีที่เป็น Acetylene-based ซึ่งมีการผลิตเพิ่มขึ้น
ขณะที่ ราคาเอทธิลีนที่ปรับลดลงจาก 1,149 $/MT เป็น 892 $/MT เนื่องจากมีเอทธิลีนเหลือในตลาดจากการที่ความต้องการ PE ลดลง ส่วนราคาอีดีซีนอกจากจะได้รับผลกระทบจากราคาขายพีวีซีและราคาเอทธิลีนที่ลดลง ปริมาณในตลาดมีมากกว่าความต้องการ ประกอบกับราคาโซดาไฟที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่ จึงทำให้ราคาอีดีซี ลดลงอย่างมากจากปีก่อนอยู่ที่ 545 $/MT เหลือเพียง 288 $/MT ส่งผลให้ส่วนต่างราคา PVC-(EDC&Ethylene) ของตลาดเพิ่มขึ้นจาก 241 $/MT เป็น 399 $/MT
สำหรับภาวะตลาดในประเทศนั้น ปริมาณความต้องการพีวีซีไตรมาสสุดท้ายลดลงจากปีก่อน 6% ทำให้ยอดขายในประเทศ ลดลง 10% และราคาขายในประเทศเมื่อเทียบกับราคา FE ปรับตัวลดลงจาก 5.1% over FE ไปอยู่ที่ -3.0% over FE ขณะที่ยอดขายในต่างประเทศเพิ่มขึ้นถึง 44% เนื่องจากความต้องการในประเทศลดลง จึงส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะจากส่วนของปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น สำหรับราคาขายเมื่อเทียบกับราคา FE นั้นก็ลดลงจาก 2.2% เป็น -0.5%
ด้านรายได้จากการขายและการให้บริการ ไตรมาส 4 ปีนี้ รวม 5,993 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 3 % ซึ่งเป็นผลจากทั้งราคาและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของสินค้าสำเร็จรูป ส่งผลให้มีกำไรสุทธิรวม 903 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 20% แต่ในแง่ของการดำเนินงาน ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ของปี 2548 ดีกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมาก ทั้งธุรกิจ PVC และสินค้าสำเร็จรูป
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 1 ปีนั้น ความต้องการพีวีซีภายในประเทศเพิ่มขึ้นจากปี 2547 ประมาณ 9% เนื่องจากภาวะภัยแล้ง การขยายตัวของโครงการภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ รวมถึงการขยายตัวของการภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ความต้องการท่อเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้อุตสาหกรรมรถยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์มีการเติบโต ทำให้ความต้องการสายไฟเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ยอดขายในประเทศของบริษัทเพิ่มขึ้น 9% ส่วนยอดขายพีวีซีในต่างประเทศลดลง 3% เนื่องจากการขยายตัวของปริมาณความต้องการพีวีซีในประเทศที่เพิ่มขึ้น
ด้านสัดส่วนของรายได้จากการขายประจำปี 2548 เป็นผลจากจากธุรกิจ PVC ธุรกิจท่อและผลิตภัณฑ์พลาสติกสำเร็จรูป 77% และ 21% ของรายได้รวม ตามลำดับ สัดส่วนรายได้ของธุรกิจ PVC 48% เป็นการขายภายในประเทศ ส่วนที่เหลือเป็นการส่งออก และผลจากการขายของบริษัทย่อยในต่างประเทศ และมีรายไดอื่นรวม 841 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 18%
สำหรับต้นทุนขายในปี 2548 มีต้นทุนขายรวม 20,626 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9% เนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาวัตถุดิบหลักคือ เอทธิลีน ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้อก่ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 1,926 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทางการเงิน 205 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%
|