Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน25 มกราคม 2549
แฉเงื่อนงำดีลชิน ซุกต่อสัมปทาน AIS - เทมาเส็กซื้อแพง             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

   
search resources

ชินคอร์ปอเรชั่น, บมจ.
Telecommunications
Political and Government




ต่างชาติแฉเงื่อนงำชินวัตรขายหุ้นชินคอร์ป เตรียมต่ออายุสัมปทานเอไอเอส หยัน เทมาเส็กฉลาดน้อยกว่านายกฯไทยซื้อหุ้นในราคาสูง ส.ส.ไทยรักไทยตื่น ยอมรับเสียรู้ถูกทักษิณหลอกใช้ให้ช่วยขายชาติ ด้าน “ประมวล”ชี้ให้ ระวังเงินไหลออกนอกประเทศ "เจิมศักดิ์" ระบุปั่นราคาจากไอพีสตาร์ ครป.ชี้ขายหุ้นชินเป็นอวิชาที่วิจิตรพิสดาร ขณะที่ ปชป. แนะปชช.จับตาธุรกิจตระกูลชินวัต สื่อเทศระบุชิงขายหุ้นจังหวะขาลงเตรียมถอย เกาะติดเส้นทางเงิน7.3หมื่นล้านจะทำอะไร

กรณีครอบครัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขายหุ้นบมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ให้กับกิจการการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์มูลค่ากว่า 7.33หมื่นล้านบาท ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งในและต่างประเทศ

หนังสือพิมพ์ต่างชาติอย่างน้อยสองฉบับวานนี้(24ม.ค.) วอลล์สตรีทเจอร์นัลเอเชีย กับ ไฟแนนเชียลไทมส์ ต่างสนใจประเด็นที่ว่า การขายหุ้นของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ หลังจากที่ตระกูลเบญจรงคกุลขายหุ้นดีแทคให้แก่บริษัทเทเลนอร์ไปก่อนแล้ว เป็นสัญญาณว่าตระกูลธุรกิจทรงอิทธิพลของไทยเหล่านี้ อาจไม่มั่นใจว่าจะสามารถต่ออายุสัมปทานธุรกิจกำไรงามนี้ได้อีก ขณะที่รัฐวิสาหกิจอย่าง ทอท. และ กสท. ก็กำลังมีการแปรรูป ซึ่งจะกลายเป็นคู่แข่งขันไปในอนาคต ยิ่งกว่านั้น บริการมือถือยังกำลังต้องก้าวสู่ยุค 3 จี ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูงลิ่ว

ไฟแนนเชียลไทมส์ยังกล่าวไว้ใน "The Lex Column" อันมีชื่อเสียงของตนว่า เทมาเส็กดูจะฉลาดน้อยกว่าทางครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะกำลังซื้อหุ้นชินคอร์ปด้วยราคาสูง อย่างไรก็ตาม คอลัมน์นี้บอกว่า ดีลนี้จะทำให้เอไอเอสได้ต่ออายุสัมปทานง่ายขึ้น เพราะผู้วางนโยบายไม่ต้องกังวลว่าจะถูกครหาแล้ว

ทั้งนี้ตระกูลชินวัตรและตระกูลดามาพงศ์ขายหุ้น ชินคอร์ปอเรชั่นให้กับสิงคโปร์ จำนวน 1,487.7 ล้านหุ้นหรือ 49.6%ของหุ้นทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 49.25 บาทรวมเป็นเงินทั้งหมด 7.33 หมื่นล้านบาท

**ส.ส.ไทยรักไทยตื่นยอมรับเสียรู้

นายเฉลิมชัย อุฬารกุล ส.ส. สกลนคร พรรคไทยรักไทย กลุ่มพ่อมดดำ กล่าวถึงกรณีการขายหุ้นชินของตระกูลชินวัตร และดามาพงษ์ ว่า หากฟังคำชี้แจงตามที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บอกว่า ลูกให้ขายเพื่อไม่ให้เป็นข้อครหาในเรื่องธุรกิจกับการเมืองนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะเลยจุดนั้นมาแล้ว หากบริสุทธิ์ใจจริงจะต้องทำตั้งแต่เป็นนายกฯ สมัยแรก แล้ว ซึ่งวันนี้จะมาอธิบายอย่างไรก็ยากที่จะเข้าใจ

ในฐานะที่เป็น ส.ส. พรรคคนหนึ่งสงสัยว่า ที่มีข่าวเรื่องการขายหุ้นชินฯ ในช่วงแรก เหตุใดนายกฯ จึงปฏิเสธ แต่เมื่อวานนี้ก็กลับมีการขายหุ้นกันจริง ๆ และน่าสงสัยว่า ทำไมคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ถึงปล่อยให้มีการซื้อขายกันแบบนี้ เพราะทำให้เข้าใจได้ว่า ก.ล.ต. ปกป้องผู้ลงทุนรายใหญ่อย่างเดียวหรือไม่ หรือแปลว่า แยกการการเมืองกับธุรกิจไม่ออก หลังจากนี้ต้องดูว่า มี ส.ส.คนใดกล้าที่จะหยิบยกเรื่องนี้มาถามในที่ประชุมพรรคหรือไม่

ส่วนประเด็นที่ว่า ไม่ต้องเสียภาษีจากการขายหุ้นนั้น นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ฟังไม่ขึ้น เพราะเข้าใจว่า มีการใช้ช่องว่างทางกฎหมายมากกว่า ซึ่งต้องถามกลับว่า คนทั่วไปจะทำอย่างนี้ได้หรือไม่ นี่คงเป็นกรณีสุดท้ายที่ทำได้ การขายหุ้นวันนี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อการเมืองเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อประชาชนทั่วไป ถ้ารัฐบาลจะมาอ้างว่า ทำถูกต้องตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2548 ก็ว่าไป กฎหมายนี้ได้มาจากเสียงข้างมากในสภา เชื่อว่า ส.ส.พรรคไทยรักไทย 375 คนที่ยกมือให้ มีอยู่ไม่กี่คนที่รู้ลึก ๆ ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร และ ก็ไม่มีใครคาดเดาว่า เมื่อออกมาแล้วจะได้ประโยชน์ลักษณะนี้ ที่แก้กฎหมายให้ต่างชาติเข้ามาถือครอง เรื่องนี้แม้จะเป็นสมบัติของตัวเองแต่ก็กระทบกับความมั่นคง เรียกได้ว่า เป็นการขายสมบัติชาติ

ด้านนายประมวล รุจนเสรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย แกนนำกลุ่มวังน้ำเย็น กล่าวว่า วันนี้เป็นความจริงที่เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลชุดนี้ใช้อำนาจที่เป็นรัฐบาลพรรคเดียว แก้กฎหมายเพื่อประโยชน์ของคนไม่กี่กลุ่ม แม้ว่าการที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะอ้างว่าการขายหุ้นในเครือชินฯถูกต้องตากฎหมาย และเป็นทรัพย์สินส่วนตัว แต่ความเป็นจริงแล้ว ในทางอ้อมกระทบต่อความมั่นคงของชาติในอนาคต เพราะจากนี้ไปการสื่อสารต่างๆ การส่งสัญญาณดาวเทียมจะตกไปอยู่ในมือของต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ ซึ่งหากดูข้อมูลลึกๆทราบมาว่า บริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้ง มีการตั้งบริษัทลูก 2 บริษัทเพื่อถือหุ้นไขว้ ตรงนี้ถือว่าอันตราย เพราะเงินของคนไทยจะไหลไปสู่ต่างชาติหมด แม้ว่าวันนี้จะยังไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารแต่ภายภาคหน้าเชื่อว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน

นายประมวล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังกระทบต่อความมั่นคงด้านการทหาร ด้านการข่าวต่าง ๆและความลับทางเศรษฐกิจของชาติ ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้าใช้ดาวเทียมไทคม ซึ่งกรณีของดาวเทียมไทคมพ.ต.ท.ทักษิณก็เคยวิ่งเต้นขอสัมปทานในช่วงที่รัฐบาลในขณะนั้นเปิดโอกาสให้คนไทยลงทุนโดยไม่เก็บภาษี ซึ่งทำให้ประเทศเสียประโยชน์ให้คนเพียงไม่กี่กลุ่มมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉะนั้นการที่พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า นโยบายของรัฐบาลกับธุรกิจส่วนตัวไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนนั้น ข้อเท็จจริงก็ปรากฎให้เห็นแล้วว่าพฤติกรรมของรัฐบาลชุดนี้เป็นเช่นไร อย่างไรก็ตามขอตั้งข้อสังเกตุว่า หากบริสุทธิ์ใจจริงที่ว่าไม่ได้แก้กฎหมายเพื่อผลประโยชน์นั้น ทำไมจึงไม่มีการโอนภายหลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ หรือกลัวว่าจะโอนได้ต่ำกว่า 49 เปอร์เซ็นต์

“วันนี้ในฐานะที่เป็นส.ส.รัฐบาล ก็เห็นว่าส.ส.ควรหาทางแก้กฎหมายการถือหุ้นของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกรณีการขายหุ้นแบบบิ๊กล็อต เช่น ดูว่าหุ้น 2 พันล้านขึ้นไปจะให้ต่างชาติถือหุ้นได้เท่าไหร่ ซึ่งในการแก้กฎหมายนั้นส.ส.ฝ่ายค้านมีสิทธิที่จะเสนอญัตติต่อสภา และหากมีการเสนอจริง ในส่วนของการโหวตรับนั้นกลุ่มวังน้ำเย็นก็พร้อมที่จะหารือและสนับสนุน แต่จะโหวตอย่างไรนั้นคงจะมีการหารืออีกครั้งหนึ่ง” นายประมวล กล่าว

**"เจิมศักดิ์" แฉพิรุธขายหุ้นชิน

ที่รัฐสภา นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ส.ว.กทม. กล่าวว่า สำหรับการขายหุ้นชินคอร์ปฯถือเป็นการใช้เทคนิคในการขาย แทนที่จะขายบริษัทเอไอเอส ซึ่งจะต้องเสียภาษีในฐานะนิติบุคคล 30 เปอร์เซ็นต์ แต่การขายบริษัทชินคอร์ปฯเป็นการใช้เทคนิคด้วยการคืนไอพีสตาร์และไอทีวีคืน ซึ่งตนไม่สบายใจเพราะรมว.คลัง ควรจะลืมว่าเป็นขุนคลังของตระกูลชิน แต่ควรจะสวมหมวกรมว.คลังแทนเพื่อดูแลคลังภาษีของแผ่นดิน และกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา แต่กลับออกมาประกาศในวันแรกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องเสียภาษี เท่ากับเป็นการเตรียมการไว้แล้ว และการที่กระทรวงการคลังประกาศรีดภาษีประชาชนให้ได้ 1.67 หมื่นล้านบาท โดยกำชับไปยังรองปลัดกระทรวงการคลัง กรมสรรพากร กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต เก็บเงินให้ได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากไม่สามารถเก็บภาษีจากบริษัทเอไอเอสได้ จึงจำเป็นต้องมารีดภาษีกับประชาชน

นายเจิมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การขายหุ้นชินให้กับต่างชาติ พบว่ามีการแก้ไขพ.ร.บ.การถือหุ้นของต่างชาติจาก 25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 49 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆที่กฎหมายนี้เพิ่งแก้โดยวุฒิสภา ซึ่งส่อเค้าลางบางอย่างว่าเป็นนโยบายออกกฎหมายเอื้อขายหุ้นให้กับต่างชาติ และที่ผ่านมาหุ้นของชินคอร์ปฯสูงขึ้นอย่างผิดสังเกต เพราะเกิดจากการยกเว้นภาษีไอพีสตาร์ 1.6 หมื่นล้านบาท การนำค่าสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพาสามิตของเอไอเอส และการต่อสัญญาโครงข่าย ซึ่งทำให้หุ้นมีราคาสูงขึ้น และรู้ว่าราคาหุ้นจะไม่ขึ้นไปมากกว่านี้ เพราะถือเป็นราคาสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์ ไม่มีอะไรที่จะเอื้อประโยชน์ได้อีกแล้ว จึงต้องการขายบริษัทดังกล่าว

“การขายหุ้นให้กับต่างชาติ ยังถือเป็นการลดความเสี่ยงทางการเมือง เพราะหากถูกยึดทรัพย์ เงินก็ยังอยู่ในต่างชาติ หรือนำเงินให้ตัวแทนเป็นหุ่นเชิดในต่างชาติ แล้วกลับมาซื้อหุ้นในประเทศไทย”นายเจิมศักดิ์ กล่าว

**ครป.จี้คืนเงินให้คนไทย

นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า กรณีเครือญาตินายกทักษิณขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทเครือชินคอร์ปฯ นั้นแทนที่จะเป็นการลบล้างภาพลักษณ์ผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้นำ แต่ในทางตรงกันข้ามกับทำให้สังคมเชื่อมากขึ้นไปอีกว่ากรณีขายหุ้นชินฯ เป็นรูปธรรมชัดเจนของปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนภาค 2 โดยเฉพาะบทบาทของกรมสรรพกรและผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นโอนอ่อนผ่อนปรนและเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจนที่สำคัญกลับทำตัวเป็นเสมือนกองโฆษกของตระกูลชินวัตรด้วยซ้ำ

ต้องยอมรับว่าการขายหุ้นชินฯครั้งนี้เป็นผลผลิตขั้นสุดท้ายของการคอรัปชั่นทางนโยบายภาคแรกและเป็นการแปรรูปผลประโยชน์ของประชาชนไปอยู่ในกระเป๋าคนตระกูลเดียว โดยเฉพาะกรณีสัมปทานไอพีสตาร์ที่ บริษัทชินแซทเทิลไลน์เป็นเจ้าของสัมปทานและบริษัทชินคอร์ปถือหุ้นอยู่ด้วยนั้นได้รับการยกเว้นภาษีรายได้จากบีโอไอเป็นจำนวนกว่า 16,000 ล้านบาท ตลอดอายุสัมปทานซึ่งคนในตระกูลชินวัตรถือว่าเป็นหนี้บุญคุณคนไทย และต้องคืนกำไรจากผลประกอบการโดยเฉพาะดาวเทียมไอพีสตาร์คืนกลับสังคม แต่ตระกูลชินวัตรกลับเอาโอกาสที่ได้จากบีโอไอและคนไทยไปขายต่อให้กับต่างชาติ ซึ่งเท่ากับเป็นการหักหาญน้ำใจของคนไทยอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับบริษัทไอทีวีที่เกิดจากเจตจำนงการต่อสู้ของขบวนการพฤษภาทมิฬ 35 ก็ถูกบิดเบือนไปเช่นกัน

หลังจากภารกิจนี้เสร็จสิ้นสังคมต้องจับตาการขายรัฐวิสาหกิจและธุรกิจ 3 จี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเป้าหมายของเครือญาติท่านผู้นำและอาจเป็นหนังต่อเนื่องเป็นคอรัปชั่นภาค 2 ที่ผลประโยชน์มากมายมหาศาลกว่านี้ ฉะนั้นแทนที่การขายหุ้นครั้งนี้จะฟอกภาพอัปลักษณ์ของผู้นำแต่กลับไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด เพราะนี่เป็นอวิชาชนิดหนึ่งที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน เป็นอัฉริยภาพของการคอรัปชั่นที่วิจิตรพิสดารที่สุดในสังคมไทย ซึ่งเขียนเป็นตำราได้เลย

** แนะปชช.จับตาธุรกิจตระกูลชินวัตร

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการซื้อขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทในครอบครัวของนายกฯว่า อยากให้มองว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่เกี่ยวข้องเฉพาะผู้ซื้อ-ขายเท่านั้น เพราะต้องยอมรับว่าธุรกิจของบริษัทดังกล่าวครอบคลุมถึงหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องของธุรกิจโทรคมนาคมและสื่อสารมวลชน รวมทั้งการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทอื่นของชินคอร์ป และแม้ว่าบริษัทดังกล่าวจะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับข้อขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนก็ตาม แต่ขณะนี้บริษัทดังกล่าวได้ตกไปอยู่ในมือของต่างชาติแล้ว พรรคจึงให้ความสนใจและจับตากรณีดังกล่าวเป็นพิเศษ และสังคมต้องให้ความสนใจกับกรณีดังกล่าว เพราะมีผลกระทบต่อประชาชนในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน ประชาชนทั่วไป และเกี่ยวพันกับหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร รวมทั้งหลักการรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม โดยพรรคได้ตั้งคณะทำงานที่มีนายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคเป็นหัวหน้าคณะทำงาน เพื่อเก็บข้อมูลรายละเอียดการขายหุ้นดังกล่าว

**ก.ล.ต.ป้องเลือกทำเทนเดอร์ฯถูกแล้ว

ด้านแหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ยังยืนยันว่า การผ่อนผันให้กลุ่มเทมาเส็กฯไม่ต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์(รับซื้อหุ้นคืนจากรายย่อย)หุ้นบมจ.ไอทีวี หุ้นบมจ.ชินแซทเทลไลท์ เป็นไปตามกฎเกณฑ์และมาตรฐานสากล ตามคำขอของกลุ่มเทมาเส็กฯ โดยพิจาณาตามคำขอของเทมาเส็กฯที่ระบุว่า มุ่งหวังทำเทนเดอร์ฯเฉพาะหุ้นแอดวานซ์ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อมีอำนาจควบคุมกิจการทั้งสามบริษัท คือ บมจ.ชินแซทเทลไลท์ ไอทีวี และซีเอ็ส ล็อกซอินโฟ และทั้งสามบริษัทก็ไม่ใช่ธุรกิจที่มีนัยสำคัญของชินคอร์ป

ส่วนกรณีการทำเทนเดอร์ฯหุ้นแอดวานซ์ของกลุ่มเทมาเส็กฯในราคาต่ำกว่าราคาตลาด(ราคาในกระดาน) ว่า เป็นไปตามหลักเกณฑ์การทำเทนเดอร์ฯ หลักการของก.ล.ต.จะไม่เกี่ยวข้องในเรื่องของราคา ซึ่งการทำเทนเดอร์ฯแบบโดยสมัครใจจะทำให้มีความชัดเจนทันทีในเรื่องของราคาที่เสนอซื้อ 72.31 บาท และในกรณีที่จะทำเทนเดอร์ฯแบบบังคับ การกำหนดราคาเทนเดอร์ฯก็จะอิงจากว่าราคาที่ได้มาสูงสุดใน 90 วัน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาทางเทมาเส็กฯก็ไม่เคยเข้ามาซื้อหุ้นแอดวานซ์เลยเช่นกัน เพราะฉะนั้นการกำหนดราคาก็จะใช้ที่ราคาบุ๊กแวลูที่ 72.31 บาทอยู่ดี

“การผ่อนผันในลักษณะเช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ กรณีชินคอร์ปจึงไม่ใช่กรณีแรก”แหล่งข่าวกล่าว

**สื่อเทศจับตาเส้นทางเงิน 7 หมื่นล้าน

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานความคิดเห็นบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งแตกออกเป็น 2 ทาง นั่นคือ บ้างมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังเตรียมตัวเป็นนายกฯต่อสมัยที่สาม แต่บ้างก็เห็นว่า นี่เป็นการปูทางก้าวลงอย่างปลอดภัยจากตำแหน่งซึ่งได้สร้างศัตรูให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นจำนวนมาก

รอยเตอร์บอกว่า นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร เป็นคนหนึ่งในฝ่ายที่มองว่า การขายหุ้นชินของ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจหมายถึงความมุ่งมั่นที่จะยืนอยู่แถวหน้าของการเมืองไทยเป็นระยะเวลายาวนาน

ทว่า นักวิเคราะห์คนอื่นๆ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณกำลังเตรียมวางอนาคตนอกวงการเมืองซึ่งมั่นคงปลอดภัย ภายหลังครบวาระดำรงตำแหน่งสมัยที่สองต่างหาก

"มันเป็นกรมธรรม์ประกันภัยทางการเมือง เขาทราบดีว่าเวลาของเขาเหลือน้อยลงเรื่อยๆ และนี่เป็นวิธีที่จะเคลื่อนย้ายทรัพย์สมบัติของเขา" เป็นทัศนะของนายธีรนันท์ พงศ์สุทธิรักษ์ อาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "ในอดีต เราเคยมีรัฐบาลซึ่งเชื่อกันว่าขี้โกง และพวกเขาก็ถูกยึดทรัพย์ แต่ดีลหุ้นชินคราวนี้เป็นการขจัดโอกาสที่จะมีการอายัดและยึดทรัพย์สินเหล่านี้"

นักวิเคราะห์คนอื่นๆ ชี้ว่าแรงจูงใจหลักของ พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะเป็นเรื่องเงินมากกว่าการเมือง "เรื่องนี้เป็นเรื่องเงินสดๆ " วาณิชธนกรซึ่งทำงานในกรุงเทพฯผู้หนึ่งบอก "พ.ต.ท.ทักษิณได้พบผู้ซื้อที่ยินดีจ่ายค่าหุ้นแบบพรีเมียมเอื้ออาทร เขาจึงกำลังจับฉวยโอกาสอันนั้น แต่ปริศนาใหญ่ก็คือ คุณจะทำอะไรกับเงินเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์ล่ะ"

หนังสือพิมพ์เฮรัลด์ ทรีบูน ก็สนใจประเด็นการถกเถียงกันเรื่อง ทำไมครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ จึงขายหุ้นชินคอร์ปออกไปเช่นกัน โดยหนังสือพิมพ์นี้อ้างคำพูดของ นางผาสุก พงษ์ไพจิตร ศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กล่าวว่า "มีการถกเถียงกันมานานแล้วในเรื่องที่ว่าแรงจูงใจแท้จริงของเขาคืออะไร"

นางผาสุกกล่าวต่อไปว่า "ดิฉันรู้สึกว่านี่เป็นเวลาเหมาะที่จะขาย" พร้อมกับอธิบายว่า อุตสาหกรรมสื่อสารกำลังมีการแข่งขันมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงอาจจะทำกำไรได้น้อยลง ตอนนี้เราก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า เขาจะเอาเงินที่ได้มาไปทำอะไร

เฮรัลด์ ทรีบูน ยังไปสอบถาม นายจอน อึ้งภากรณ์ สมาชิกวุฒิสภาจากกรุงเทพมหานคร ที่กล่าวว่า สำหรับฝ่ายค้านแล้ว รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงเป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจ "ผมคิดว่าในแง่หนึ่งดีลนี้ก็ออกจะคล้ายกับการฟอกเงินอยู่เหมือนกัน หมายความว่าตอนนี้เมื่อการเทคโอเวอร์จบสิ้นลงแล้ว ปัญหาต่างๆ ที่เคยโผล่ขึ้นมาในอดีตก็ดูน่าจะมีโอกาสน้อยลงที่จะโผล่ออกมาอีก"

ทางด้านสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานข่าว พ.ต.ท.ทักษิณออกมาแถลงแก้ตัวเมื่อวานนี้ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการขายหุ้นชินคอร์ป แบบไม่ต้องเสียภาษี ตลอดจนมีผู้แสดงความวิตกเรื่องต่างชาติเข้าถือกรรมสิทธิ์ในอุตสาหกรรมสื่อสาร

นอกจากนั้น เอเอฟพียังตามสัมภาษณ์พวกนักวิเคราะห์ ที่มองว่า ดีลหุ้นชินคอร์ป น่าจะทำให้ต่างชาติเพิ่มความสนใจตลาดโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีก โดยนักวิเคราะห์หลายรายทำนายว่า ทีเอ ออเรนจ์ บริษัทให้บริการมือถืออันดับสามของไทย ซึ่งเป็นกิจการที่ยังอยู่ในมือคนไทย น่าจะตกไปอยู่ในมือบริษัทเทเลคอมต่างชาติในไม่ช้านี้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us