เผย 10 บริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น มาร์เกตแคปกว่า 48% ของตลาดรวม "ปูนใหญ่"จ่ายปันผลสูงสุด 6.15% บล.กรุงศรี ชี้ต้องดึงธุรกิจสาธารณูปโภคเข้ามาสร้างความสมดุล ระบุบริษัทใหญ่ก็มีความเสี่ยง ด้าน"โชติกา" บิ๊กบลจ.ทหารไทย ระบุ SET 50 ยังสะท้อนเศรษฐกิจไทยได้ไม่มากนัก เพราะยังไม่ครบกลุ่มทุกอุตสาหกรรมหลัก เชื่อแนวโน้มเฮจด์ฟันด์มากขึ้น
จากการรวบรวมข้อมูลผลตอบแทนในตลาดหลักทรัพย์จากการลงทุนในหลักทรัพย์บริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เกตแคปสูงที่สุด 10 อันดับ ประกอบด้วย
1.บมจ.ปตท หรือ PTT ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 30.64% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.99% มูลค่ามาร์เกตแคป 632,177.53 ล้านบาท
2. บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 0.93% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.39% มูลค่ามาร์เกตแคป 318,669.11 ล้านบาท
3. บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 62.76% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 1.9% มูลค่ามาร์เกตแคป 309,127.95 ล้านบาท
4. บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ไม่เปลี่ยนแปลง ผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.5% มูลค่ามาร์เกตแคป 929,800 ล้านบาท
5.ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 0.96% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 1.67% มูลค่ามาร์เกตแคป 200,428.50 ล้านบาท
6.ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 33.33% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 1.43% มูลค่ามาร์เกตแคป 166,130.56 ล้านบาท
7.บมจ.อุตสากรรมปิโตรเคมีกัลไทย หรือ TPI ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 10.96% ไม่มีการจ่ายเงินปันผล มูลค่ามาร์เกตแคป 157,950 ล้านบาท
8.บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 24.51% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.83% มูลค่ามาร์เกตแคป 129,541.77 ล้านบาท
9.บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ SHIN ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 6.29% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.69% มูลค่ามาร์เกตแคป 126,721.06 ล้านบาท
10.ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 22.22% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.27% มูลค่ามาร์เกตแคป 122,977.24 ล้านบาท
ทั้งนี้ มูลค่ามาร์เกตแคปของ 10 บริษัทสูงสุด รวม 2,456,532.72 ล้านบาท คิดเป็น 48.11% ของมาร์เกตแคปตลาดหลักทรัพย์สิ้นปี 2548 ที่อยู่ที่ 5,105,113.48 ล้านบาท
นายกิตติ เหมนิลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ของไทยแม้ว่าจะอิงกับภาคธุรกิจเพียงไม่กี่กลุ่มอุตสาหกรรม โดยหลักๆกลุ่มพลังงาน ธนาคาร และก่อสร้างยังถือว่าเป็นกลุ่มที่สำคัญต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้ ความเชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจของประเทศคงจะต้องประกอบด้วยธุรกิจมากกว่าปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มที่สำคัญและจะช่วยสะท้อนเศรษฐกิจของประเทศได้ชัดเจนมากขึ้น คือ กลุ่มสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า สื่อสาร รถไฟ เป็นต้น
"การลงทุนแม้ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ แต่อาจจะน้อยกว่ากลุ่มบริษัทขนาดเล็ก แต่ที่สำคัญการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงผลตอบแทนก็จะสูงตามไปด้วย"นายกิตติกล่าว
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนของผู้จัดการกองทุนในปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่เน้นความปลอดภัยและป้องกันความเสี่ยง หรือกลุ่มที่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอแต่อาจจะต้องยอมรับผลความเสี่ยงด้วย
ทั้งนี้ บลจ.ทหารไทยมีกองทุนที่เลือกลงทุนในลักษณะป้องกันความเสี่ยงของนักลงทุน ขณะที่ผลตอบแทนก็สม่ำเสมอ คือการเลือกลงทุนในหุ้น SET 50 เนื่องจากสิ่งที่สะท้อนความมั่นใจของประชาชนคือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เกตแคป
"การลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ไม่ใช่ว่าไม่มีความเสี่ยง ถ้าประเทศมีปัญหากลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆของประเทศซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมาร์เกตแคปสูงก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย"นางโชติกากล่าว
อย่างไรก็ตาม หุ้นของบริษัทจดทะเบียนไทยที่มาร์เกตแคปสูงแม้ว่าจะสะท้อนเศรษฐกิจของประเทศได้ แต่กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในอุตสาหกรรมที่เข้าจดทะเบียนก็ยังไม่ถือว่าครบทุกอุตสาหกรรม เพราะบางกลุ่มที่ค่อนข้างเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศปัจจุบันยังไม่การเข้าจดทะเบียน เช่น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก
นางโชติกา กล่าวอีกว่า ผกองทุนในช่วงที่ผ่านมาแบ่งออกมาเป็นหลายลักษณะ ทั้งรูปแบบที่เน้นการลงทุนในลักษณะการเก็งกำไรในหลักทรัพย์ ซึ่งภายหลังจากที่การลงทุนในลักษณะดังกล่าวไม่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง จึงเริ่มเปลี่ยนแปลงมาเป็นรูปที่เน้นการเอาชนะดัชนีตลาดหรือตามดัชนีตลาด ส่วนในอนาคตการปรับเปลี่ยนจะเริ่มไปเป็นในลักษณะเฮดจ์ฟันด์มากขึ้น เนื่องจากต้องการผลตอบแทนที่สูงมากขึ้น
"ผลตอบแทนจากการลงทุน คงต้องขึ้นอยู่กับนโยบายหลายอย่างประกอบ แม้ว่าการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่จะให้ผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ผู้จัดการกองทุนบางแห่งอาจจะต้องการเลือกลงทุน โดยการค้นคว้าหรือมีการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียนเพื่อหาบริษัทที่จะให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ในบางครั้งรายจ่ายในเรื่องดังกล่าวอาจจะไม่คุ้มกับสิ่งที่จะได้รับ"นางโชติกากล่าว
|