Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน23 มกราคม 2549
ปี48ปูนใหญ่แชมป์ปันผล6.15%             
 


   
www resources

โฮมเพจ เครือซิเมนต์ไทย

   
search resources

ปูนซิเมนต์ไทย, บมจ.
Stock Exchange




เผย 10 บริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น มาร์เกตแคปกว่า 48% ของตลาดรวม "ปูนใหญ่"จ่ายปันผลสูงสุด 6.15% บล.กรุงศรี ชี้ต้องดึงธุรกิจสาธารณูปโภคเข้ามาสร้างความสมดุล ระบุบริษัทใหญ่ก็มีความเสี่ยง ด้าน"โชติกา" บิ๊กบลจ.ทหารไทย ระบุ SET 50 ยังสะท้อนเศรษฐกิจไทยได้ไม่มากนัก เพราะยังไม่ครบกลุ่มทุกอุตสาหกรรมหลัก เชื่อแนวโน้มเฮจด์ฟันด์มากขึ้น

จากการรวบรวมข้อมูลผลตอบแทนในตลาดหลักทรัพย์จากการลงทุนในหลักทรัพย์บริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เกตแคปสูงที่สุด 10 อันดับ ประกอบด้วย

1.บมจ.ปตท หรือ PTT ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 30.64% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.99% มูลค่ามาร์เกตแคป 632,177.53 ล้านบาท

2. บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ ADVANC ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 0.93% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.39% มูลค่ามาร์เกตแคป 318,669.11 ล้านบาท

3. บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 62.76% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 1.9% มูลค่ามาร์เกตแคป 309,127.95 ล้านบาท

4. บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ไม่เปลี่ยนแปลง ผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.5% มูลค่ามาร์เกตแคป 929,800 ล้านบาท

5.ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 0.96% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 1.67% มูลค่ามาร์เกตแคป 200,428.50 ล้านบาท

6.ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 33.33% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 1.43% มูลค่ามาร์เกตแคป 166,130.56 ล้านบาท

7.บมจ.อุตสากรรมปิโตรเคมีกัลไทย หรือ TPI ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 10.96% ไม่มีการจ่ายเงินปันผล มูลค่ามาร์เกตแคป 157,950 ล้านบาท

8.บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 24.51% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.83% มูลค่ามาร์เกตแคป 129,541.77 ล้านบาท

9.บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ SHIN ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 6.29% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.69% มูลค่ามาร์เกตแคป 126,721.06 ล้านบาท

10.ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB ราคาหุ้นในช่วงปี 2548 ปรับขึ้น 22.22% ผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.27% มูลค่ามาร์เกตแคป 122,977.24 ล้านบาท

ทั้งนี้ มูลค่ามาร์เกตแคปของ 10 บริษัทสูงสุด รวม 2,456,532.72 ล้านบาท คิดเป็น 48.11% ของมาร์เกตแคปตลาดหลักทรัพย์สิ้นปี 2548 ที่อยู่ที่ 5,105,113.48 ล้านบาท

นายกิตติ เหมนิลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ของไทยแม้ว่าจะอิงกับภาคธุรกิจเพียงไม่กี่กลุ่มอุตสาหกรรม โดยหลักๆกลุ่มพลังงาน ธนาคาร และก่อสร้างยังถือว่าเป็นกลุ่มที่สำคัญต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์

ทั้งนี้ ความเชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจของประเทศคงจะต้องประกอบด้วยธุรกิจมากกว่าปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มที่สำคัญและจะช่วยสะท้อนเศรษฐกิจของประเทศได้ชัดเจนมากขึ้น คือ กลุ่มสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า สื่อสาร รถไฟ เป็นต้น

"การลงทุนแม้ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ แต่อาจจะน้อยกว่ากลุ่มบริษัทขนาดเล็ก แต่ที่สำคัญการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงผลตอบแทนก็จะสูงตามไปด้วย"นายกิตติกล่าว

นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนของผู้จัดการกองทุนในปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่เน้นความปลอดภัยและป้องกันความเสี่ยง หรือกลุ่มที่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอแต่อาจจะต้องยอมรับผลความเสี่ยงด้วย

ทั้งนี้ บลจ.ทหารไทยมีกองทุนที่เลือกลงทุนในลักษณะป้องกันความเสี่ยงของนักลงทุน ขณะที่ผลตอบแทนก็สม่ำเสมอ คือการเลือกลงทุนในหุ้น SET 50 เนื่องจากสิ่งที่สะท้อนความมั่นใจของประชาชนคือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เกตแคป

"การลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ไม่ใช่ว่าไม่มีความเสี่ยง ถ้าประเทศมีปัญหากลุ่มอุตสาหกรรมหลักๆของประเทศซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมาร์เกตแคปสูงก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย"นางโชติกากล่าว

อย่างไรก็ตาม หุ้นของบริษัทจดทะเบียนไทยที่มาร์เกตแคปสูงแม้ว่าจะสะท้อนเศรษฐกิจของประเทศได้ แต่กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในอุตสาหกรรมที่เข้าจดทะเบียนก็ยังไม่ถือว่าครบทุกอุตสาหกรรม เพราะบางกลุ่มที่ค่อนข้างเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศปัจจุบันยังไม่การเข้าจดทะเบียน เช่น กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก

นางโชติกา กล่าวอีกว่า ผกองทุนในช่วงที่ผ่านมาแบ่งออกมาเป็นหลายลักษณะ ทั้งรูปแบบที่เน้นการลงทุนในลักษณะการเก็งกำไรในหลักทรัพย์ ซึ่งภายหลังจากที่การลงทุนในลักษณะดังกล่าวไม่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง จึงเริ่มเปลี่ยนแปลงมาเป็นรูปที่เน้นการเอาชนะดัชนีตลาดหรือตามดัชนีตลาด ส่วนในอนาคตการปรับเปลี่ยนจะเริ่มไปเป็นในลักษณะเฮดจ์ฟันด์มากขึ้น เนื่องจากต้องการผลตอบแทนที่สูงมากขึ้น

"ผลตอบแทนจากการลงทุน คงต้องขึ้นอยู่กับนโยบายหลายอย่างประกอบ แม้ว่าการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่จะให้ผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ผู้จัดการกองทุนบางแห่งอาจจะต้องการเลือกลงทุน โดยการค้นคว้าหรือมีการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียนเพื่อหาบริษัทที่จะให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ในบางครั้งรายจ่ายในเรื่องดังกล่าวอาจจะไม่คุ้มกับสิ่งที่จะได้รับ"นางโชติกากล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us