"ขรรค์ชัย บุนปาน"ขายหุ้นมติชนล็อต 2 ให้กับบริษัทในโครงการซื้อหุ้นคืนจำนวน 8.78% ที่ปรึกษาทางการเงินระบุไม่มีการขายออกมาอีกแล้ว เหตุถือในสัดส่วนที่เหมาะสมแล้วจำนวน 31.99% ไม่หวั่นถูกเทกโอเวอร์แบบไม่เป็นมิตร เหตุเพราะหุ้นส่วนหนึ่งอยู่ในมือของพันธมิตร เมื่อรวมกันแล้วทำให้ถือหุ้นประมาณ 40% เศษ

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)แจ้งว่า นายขรรค์ชัย บุนปาน ได้ขายหุ้นบริษัทมติชน จำกัด(มหาชน) หรือ MATI จำนวน 18 ล้านหุ้นหรือ 8.78% โดยเป็นการขายให้กับบริษัทมติชน ในโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock Program) ในราคาหุ้นละ 11.03 บาท ภายหลังการขายหุ้นจะทำให้นายขรรค์ชัย ยังถือหุ้นอยู่จำนวน 65.578 ล้านหุ้นหรือ 31.99%

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2548 คณะกรรมการบริษัทมติชน จำกัด (มหาชน)ได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อการบริหารการเงิน โดยกำหนดวงเงินสูงสุดที่จะใช้ในการซื้อหุ้นคืน 221 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน ไม่เกิน 20 ล้านหุ้นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทคิดเป็น 9.76% ใน ราคาหุ้นละ 11.03 บาท และกำหนดระยะเวลาที่จะซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 3-16 มกราคม 2549 สาเหตุที่จัดทำโครงการซื้อหุ้นคืน เพราะบริษัทมีสภาพคล่องทางการเงิน และภาระหนี้คงค้างน้อย ประกอบกับยังไม่มีโครงการ ในอนาคตที่ต้องการเงินลงทุนจำนวนมาก บริษัทฯ จึงพิจารณาเห็นสมควรว่าการลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทเอง น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีต่อบริษัทฯและผู้ถือหุ้น

อนึ่ง ก่อนหน้านี้นายขรรค์ชัยได้ขายหุ้นจำนวน 15.517 ล้านหุ้นหรือ 7.57% โดยเสนอขายให้กับ 6 บริษัทซึ่งประกอบด้วย บริษัทไซเบอร์ เวนเจอร์ จำกัด, บริษัท ทุนรุ่งเรือง จำกัด, บริษัทมหากิจโฮลดิ้ง จำกัด, บริษัท สตรองโฮลด์ แอสเซทส์, บริษัทบีบีทีวี แอสเซตแมนเนจเมน์และบริษัทจีแอล แอสเซทส์ ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่เป็นบริษัทในเครือช่อง 7

นอกจากนี้ บริษัทมติชนเคยแจ้งตลาดหลักหลักทรัพย์ว่า นายระเฑียร ศรีมงคล ได้ขอลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัท,กรรมการอิสระและประธานกรรมการตรวจสอบ เนื่องจากมีภารกิจเพิ่มมากขึ้น โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2549 เป็น ต้นไป โดยคณะกรรมการจะดำเนินการคัดสรรและแต่งตั้งกรรมการใหม่เพื่อดำรงตำแหน่งต่อไป

ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษานายขรรค์ชัยกล่าวว่า สาเหตุที่นายขรรค์ชัยได้ขายหุ้นออกมาเป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากนายขรรค์ชัยต้องการลดภาระหนี้ลง โดยการขายหุ้นดังกล่าวจะทำให้นายขรรค์ชัยสามารถนำเงินไปชำระหนี้ให้กับธนาคารได้บางส่วน อย่างไรก็ตามสัดส่วนการถือหุ้นในปัจจุบันนี้ของนาย ขรรค์ชัยที่ถือในระดับ 31.99% ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว คงจะไม่มีการขายออกมาอีกแล้ว

ทั้งนี้ถึงแม้ว่านายขรรค์ชัยจะลดสัดส่วนลง แต่ก็ไม่กังวลว่าจะเกิดปัญหาถูกครอบงำกิจการอย่างไม่เป็นมิตรเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา เพราะการขายหุ้นของนายขรรค์ชัยในครั้งนี้เป็นการขายให้กับกลุ่มพันธมิตรเดียว กัน ดังนั้นเมื่อนำหุ้นที่นายขรรค์ชัยถืออยู่ รวมกับกลุ่มพันธมิตรจะมีหุ้นทั้งสิ้นประมาณ 40% เศษ