|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เอไอเอดิ้นขอลงทุนต่างประเทศเพิ่มจากเดิมได้รับวงเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อ้างเพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุน แถมพันธบัตรระยะยาวในประเทศเริ่มขาดตลาด เผยกลยุทธ์ การลงทุนปีนี้ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นกู้เอกชน การทำซีเคียวริไทเซชัน ในโครงการเมกะโปรเจกต์ และตลาดหุ้นเพิ่ม เผยปี 48 ผลิตเบี้ยประกันรับรวมได้ 6.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% ตั้งเป้าปี 49 เบี้ยประกันรับปีแรกเพิ่ม 10% กำหนดให้เป็นปีแห่งชัยชนะ
นายโทมัส เจมส์ ไวท์ รองประธานบริหารระดับสูงและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล แอสชัวรันส์ จำกัด (เอไอเอ) เปิดเผยว่า ผลการ ดำเนินงานของเอไอเอในปี 2548 ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2547-30 พฤศจิกายน 2548 เอไอเอสามารถผลิตผลงานเป็นที่น่าพอใจ โดยมีเบี้ยประกันรับรวมที่ผลิตได้ 64,375 ล้านบาท หรือเติบโต 6.3% มีกรมธรรม์ประกันชีวิตรายสามัญรายใหญ่เพิ่มขึ้น 645,490 ฉบับ หรือเพิ่มขึ้น 3.4% ส่งผลให้ปัจจุบันเอไอเอมีกรมธรรม์ประกันชีวิตรายสามัญที่มีผลบังคับมากกว่า 4 ล้านฉบับ ซึ่งหากรวมกับกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุและสุขภาพแล้วจะมีกรมธรรม์รวม 5.3 ล้านฉบับ
สำหรับกลยุทธ์การตลาดและเป้าหมายปี 2549 เอไอเอกำหนดให้ปี 2549 เป็นปีแห่งชัยชนะ โดยจะยังคงใช้กลยุทธ์การตลาด Shift to Risk และ 15/50 ต่อเนื่อง จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นราก ฐานที่ดีที่ทำให้บริษัทสามารถผลิตเบี้ยประกันรับปีแรกให้เติบโต 10% และเพิ่มรายกรมธรรม์ใหม่อีก 20% ตามที่บริษัทกำหนด
นายอนุชา เหล่าขวัญสถิตย์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการลงทุน บริษัท อินเตอร์แนชชั่นแนล แอส ชัวรันส์ จำกัด (เอไอเอ) กล่าวถึงพอร์ตการลงทุนของเอไอเอว่า ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 มีสินทรัพย์ลงทุน 2.8 แสนล้านบาท ลงทุนในพันธบัตรและรัฐวิสาหกิจ 75% โดยส่วนนี้ลงทุนในพันธบัตรที่มีอายุยาวประมาณ 50% หุ้นกู้ 5% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 4% เงินฝากในสถาบันการเงิน 2% หุ้นและหน่วยลงทุน 10% อื่นๆ 4% โดยมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ในระดับ 7%
สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทยังคงให้น้ำหนักกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจระยะยาว การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน หุ้นกู้ของภาคเอกชน และการทำซีเคียวริไทเซชัน ที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการลงทุนในสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจมากขึ้น เนื่องจากจะมีการขยายกำลังการผลิตของภาคเอกชนและโครงการเมกะโปรเจกต์ที่จะทยอยหาเงินทุนเพื่อดำเนินโครงการภายในปีนี้
นายอนุชากล่าวว่า พอร์ตการลงทุนในต่างประเทศของเอไอเอในปีที่ผ่านมามีมูลค่าประมาณ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 4,000 ล้านบาท และขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุญาตจากกรมประกันภัยและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อขอวงเงินเพิ่มจากเดิม เนื่องจากปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุยาว เริ่มขาดตลาด และที่สำคัญเอไอเอถือเป็นรายใหญ่ที่ลงทุนในพันธบัตรรระยะยาวของรัฐบาล
สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศของเอไอเอ ซึ่งกรอบการลงทุนให้สามารถ ลงทุนในพันธบัตรที่มีเรตติ้งในระดับ BBB ขึ้นไปเท่านั้น ผลตอบแทนเฉลี่ยในปี 2548 อยู่ที่ 6.75-7.5%
โดยปัจจุบันพันธบัตรที่มีอยู่ในตลาดมีประมาณ 1.1-1.2 ล้านล้านบาท เป็นพันธบัตรที่มีอายุยาวประมาณ 4 แสนล้านบาท หรือประมาณ 10-15% ของพันธบัตรที่มีอยู่ เอไอเอเข้าไปลงทุน สูงถึง 2 แสนล้านบาท ซึ่งในขณะนี้เริ่มขาดตลาด เพราะกระทรวงการคลังมีนโยบายออกปีละ 40,000 ล้านบาทเท่านั้น ไม่สามารถรองรับการขยายตัวของสินทรัพย์ของเอไอเอ
นายอนุชากล่าวว่า แนวโน้มพันธบัตรรัฐบาลที่เริ่มขาดตลาด ส่งผลให้เอไอเอต้องปรับกลยุทธ์การบริหารพอร์ตใหม่ และหันมาลงทุนใน หุ้นกู้ภาคเอกชนมากขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และแนวโน้มในปีนี้ภาคเอกชน จะหันมาระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้มากขึ้น หลังจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเริ่มขยับจากการเร่งหาเงินฝากของธนาคารพาณิชย์
"ในปีที่ผ่านมาหลังจากกรณีที่มีผู้ประกอบการบางรายที่ออกตั๋วเงินระยะสั้น (บี/อี) ผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้ผู้ลงทุนมองถึงคุณภาพของตราสารหนี้ และเครดิตมากขึ้น ทำให้หุ้นกู้ใหม่ที่จะออกมาในปีนี้ อัตราดอกเบี้ยมีความสมเหตุสมผลมากขึ้น จากเดิมที่อยู่ในระดับต่ำจนไม่น่าจูงใจในการลงทุน"นายอนุชากล่าว
สำหรับนโยบายการลงทุนในตลาดหุ้นในปีนี้ เอไอเอในฐานะนักลงทุนสถาบันที่มีพอร์ตขนาดใหญ่ เตรียมเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาด หุ้นมากขึ้น เนื่องจากประเมินว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีนี้มีแนวโน้มที่ดีกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเอไอเอได้มีการลดน้ำหนักการลงทุน โดยปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นได้เพิ่มสัดส่วน เป็น 12%
|
|
|
|
|