เผยหนังไทยทะลุ 1,100 ล้าน บาท เป็นครั้งแรก กวาดแชร์ตลาดรวม 32% เสี่ยเจียงยึดตลาดเป็นผู้นำมากกว่า 50% ด้าน จีทีเอชเผยปีนี้แก้เกมใหม่ เล่นบทรุก หลังจากพลาดท่าปีที่แล้ว ฉายได้แค่ 3 เรื่อง ปีนี้วางหมาก ใหม่ส่ง 9 เรื่องลงโรง หวังรายได้ 700 ล้านบาท เพิ่มแชร์ตลาดขึ้นเป็น 39% เล็งขยายงานในอนาคต
นายวิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการ บริหาร บริษัท จีทีเอช จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจสร้าง ภาพยนตร์ไทย เปิดเผยว่า ในปีที่แล้วมูลค่าตลาด ของภาพยนตร์ไทยมีรายได้รวมประมาณ 1,100 ล้านบาท โดยมีจำนวนหนังไทยประมาณ 36 เรื่อง ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ก็ว่าได้ที่ตัวเลขทะลุพันล้านบาท จากเดิมก่อนหน้านี้ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาที่หนังไทยสู่ยุคเฟื่องฟู รายได้ของ ตลาดรวมก็ยังไม่สูงเท่านี้
มูลค่าตลาดรวมหนังไทยปีที่แล้วยังสูงกว่าตลาดรวมเมื่อปี 2547 ที่มีประมาณ 808 ล้านบาท ทั้งที่มีปริมาณหนังมากกว่าคือ ประมาณ 44 เรื่อง ด้วยซ้ำไป โดยปีที่แล้วค่าเฉลี่ยของรายได้หนังแต่ละเรื่องอยู่ที่ประมาณ 30 กว่าล้านบาท ซึ่งเริ่มมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น
นอกจากนั้นแล้วมูลค่าตลาดรวมหนังไทยยังสามารถครองส่วนแบ่งตลาดหนังโดยรวมได้มากกว่า 32% จากมูลค่าตลาดหนังรวมกว่า 3,500 ล้านบาท ส่วนผู้นำตลาดที่ครองส่วนแบ่งมากกว่า 50-60% ยังคงเป็นหนังจากฮอลลีวูดเหมือนเดิมที่เป็นตลาดใหญ่ที่สุดแต่ก็เริ่มถูกหนังไทยแย่งแชร์มากขึ้นแล้ว
ทั้งนี้จากตลาดรวมกว่า 1,100 ล้านบาท ปรากฏว่าค่ายผู้สร้างหนังไทยรายใหญ่ที่ยึดครอง ส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งคือ 1.ค่ายสหมงคลฟิล์มของเสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ส่วนแบ่ง 45% ด้วยรายได้มากกว่า 500 ล้านบาท อันดับที่ 2. ค่ายพระนครฟิล์ม มีหนังประมาณ 4-5 เรื่อง ซึ่งเรื่อง หลวงพี่เท่งเรื่องเดียวทำรายได้กว่า 140 ล้านบาท มีแชร์ 15.3% อันดับ 3. ค่ายอาร์.เอส.ฯฟิล์ม มีแชร์ประมาณ 12.1%
อันดับที่ 4. ค่ายจีทีเอช มีหนังฉายประมาณ 3 เรื่องปีที่แล้ว ด้วยแชร์ตลาด 11.7% อันดับที่ 5. ค่ายแมงป่อง มีเรื่องเด่น เช่น บุปผาราตรี มีแชร์ตลาดประมาณ 6.5% อันดับที่ 6. ค่ายไฟว์สตาร์ มีแชร์ตลาดประมาณ 2.5% นอกนั้นก็ เป็นค่ายเล็กค่ายน้อยที่มีส่วนแบ่งคละเคล้ากันไป
นายวิสูตรให้ความเห็นว่า สำหรับสถาน-การณ์ตลาดหนังไทยโดยรวมในปีนี้คาดว่าคงจะทรงตัวเหมือนเมื่อปีที่แล้วไม่หวือหวามากนัก โดย จะมีตัวแปรสำคัญคือ ภาพยนตร์เรื่อง นเรศวร ของค่ายมงคลฟิล์มกับพร้อมมิตรร่วมทุนสร้าง ซึ่งหากฉายได้ทันในปีนี้คาดว่ามูลค่าหนังรวมจะกระเตื้องขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะเหมือนกับช่วงปีที่เรื่อง สุริโยทัย เข้าฉาย แค่เรื่องเดียวทำรายได้มากถึง 300 กว่าล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าตลาดหนังไทยโดยรวมในปีนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่อาจจะฉุดตลาดหนังไทยรวมไปถึงตลาดหนังทั้งหมดในปีนี้คือ มหกรรมฟุตบอลโลก ที่จะมีการแข่งขันช่วงกลาง ปีนี้ อาจจะทำให้คนดูหนังลดน้อยลง แม้ว่าจะมีการถ่ายทอดช่วงกลางคืนก็ตาม แต่คนก็ต้องปรับตัวเพื่อรอดูฟุตบอลมากขึ้น ซึ่งจะกระทบทั้งตลาดไม่ใช่เฉพาะแค่หนังไทยเท่านั้น
สำหรับแผนการดำเนินงานของจีทีเอชในปีนี้คาดว่าจะสามารถทำในเชิงรุกมากขึ้นกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากปีที่แล้วอยู่ในช่วงของการรวมตัวตั้งบริษัทใหม่กว่าจะเสร็จก็ช่วงกลางปีแล้ว ซึ่งส่งผล ให้มีหนังเข้าฉายปีที่แล้วเพียง 3 เรื่องเท่านั้นเองจากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะฉาย 6-8 เรื่อง คือ เรื่องเพื่อนสนิท รายได้ 82 ล้านบาท เรื่องมหาลัย เหมืองแร่ รายได้ 26 ล้านบาท และเรื่อง วัยอลวน รายได้ 25 ล้านบาท อีกทั้งปีที่แล้วไม่ได้รับจัดจำหน่ายหนังด้วยจึงทำให้รายได้ต่ำกว่าเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม จีทีเอช ยังไม่ได้เพิ่มทุนจดทะเบียน ยังเท่าเดิมคือ 300 ล้านบาท แบ่งการถือหุ้นเป็น 3 ฝ่ายคือ จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ถือหุ้นใหญ่ 51% ไทเอนเตอร์เทนเมนท์ ถือหุ้น 30% และหับโห้หิ้น ถือหุ้น 19%
ทั้งนี้ ปีนี้จะเป็นปีที่จีทีเอชจะแก้เกมใหม่ เนื่องจากมีความพร้อมมากและตั้งเป้าหมายที่จะฉายหนังให้ได้มากถึง 9 เรื่อง โดยจะใช้งบการตลาดประมาณ 12-15 ล้านบาทต่อเรื่อง ขึ้นอยู่กับหน้าหนัง ซึ่งหนังทั้งหมดนั้นก็มีทั้งที่อยู่ระหว่างการถ่ายทำบ้าง หรือการเตรียมถ่ายทำบ้าง โดยทั้ง 9 เรื่องแบ่งออกเป็น "หนังรักหนึ่ง เพลงหนึ่ง ตลกสี่ ผีสาม" โดยจะมีทั้งหนังที่สร้างเอง และร่วมสร้างสร้าง เช่น "SEASON CHANGE.. เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย" จีทีเอช ร่วมกับมีเดีย ออฟ มีเดียส์, "หมากเตะ..โลกตะลึง"สร้างโดย จีทีเอช และบีบีทีวี โปรดัคชันส์, "แก๊งชะนีกับอีแอบ" สร้างโดย จีทีเอช และ หับ โห้ หิ้น บางกอก, "โกยเถอะโยม" สร้างโดย จีทีเอช และ JOY LUCK CLUB, "สายลับจับชู้" สร้างโดย จีทีเอช และ ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น, "เด็กหอ" สร้างโดย จีทีเอช และ ฟีโนมีนา โมชั่น พิคเจอร์ส, "แฝด" สร้างโดย จีทีเอช, เดคดิเคท และ ฟีโนมีนา โมชั่น พิคเจอร์ส, "เก๋า" สร้างโดย จีทีเอช, "บอดี้..ศพจองเวร"สร้างโดย จีทีเอช
นายวิสูตรกล่าวว่า ปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมาย รายได้ไว้ประมาณ 700 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากโรงภาพยนตร์ 60% รายได้จากการขายสิทธิ์วีซีดี/ดีวีดี 20% รายได้จากการขายสาย หนัง 15% และอื่นๆอีก 5% โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีแชร์ ตลาดประมาณ 30% จากเดิมปี 2547 ที่มีแชร์ประมาณ 39% เนื่องจากมีหนังที่รับจัดจำหน่ายด้วย และปีที่แล้วเหลือแชร์เพียง 11.7%
"ในอนาคตจีทีเอชมีแผนที่จะขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ใช่ทำเฉพาะหนังอย่างเดียว แต่ทั้งนี้จะต้องรอความพร้อมและโอกาสก่อนว่าเป็นอย่างไร เช่น ผลิตหนังทีวี สตูดิโอ โรงถ่าย หรือการสร้างเอาต์เลตด้านบันเทิง เป็นต้น" นายวิสูตรกล่าว
|