Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน17 มกราคม 2549
แสนสิริบุกตลาดทุกเซกเมนต์             
 


   
www resources

โฮมเพจ แสนสิริ

   
search resources

แสนสิริ, บมจ.
เศรษฐา ทวีสิน
Real Estate




บิ๊กแสนสิริเปิดกลยุทธ์ รุกตลาดทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่ระดับล่างถึงบน ช็อกเปิดโปรเจกต์ใหม่อย่างน้อย 16 โครงการ กว่า 16,000 ล้านบาท พร้อมเปิดบริษัทในเครือใหม่อีก 2 บริษัท "เรด โลตัสฯ" บุกอสังหาฯต่างจังหวัด จับกลุ่มลูกค้า ชาวต่างชาติ ส่วน "พร้อมพัฒนา" รุกตลาดระดับล่าง ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ลั่นแท่นอันดับ 2 ของตลาด ระบุสินค้าขายในปี 49 กว่า 5,300 ยูนิต มูลค่าในมือ 27,400 ล้านบาท

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจ ของกลุ่มบริษัทแสนสิริในช่วงปี 2548 ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมีรายได้กว่า 10,000 ล้านบาท โดยยอดรายได้ดังกล่าว ไม่รวมการขายโรงแรม โซฟิเทล สีลม มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท กำไรกว่า 400 ล้านบาท และการขายพร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ของบ้านแสนสิริ สุขุมวิท อีก 680 ล้านบาท ซึ่งรายได้ดังกล่าวถือเป็นอันดับ 2 ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2549 นั้น บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการรุกตลาดที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ทั้งประเภทโครงการบ้านจัดสรร, คอนโดมิเนียม, โครงการทาวน์เฮาส์ และรวมถึงที่พักอาศัยตากอากาศในทำเลท่องเที่ยว โดยทางกลุ่มบริษัทแสนสิริ มีแผนการเปิดตัวโครงการ ที่อยู่อาศัยใหม่อีกประมาณ 16 โครงการ มูลค่าโครงการขายรวม 16,400 ล้านบาท คาดว่าในปีนี้ แสนสิริจะมีอัตราการเติบโตกว่า 20% หรือมียอดขายประมาณ 14,000 ล้านบาท

"แสนสิริพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียมมาโดยตลอด โดยในปีนี้บริษัทฯ มีแผน ที่จะขยายฐานการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเกือบ ทุกประเภท ตั้งแต่โครงการที่อยู่อาศัยระดับล่างถึงระดับพรีเมียม รวมไปถึงพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีฐานทางด้านตลาดค่อนข้างมาก โดยจะดำเนินการผ่าน กลุ่มบริษัทในเครือของแสนสิริ อาทิ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด, บริษัท พร้อมพัฒนา จำกัด, บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เวนเจอร์ จำกัด และบริษัท เรด โลตัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ส่วนใหญ่แสนสิริถือหุ้นอยู่เกือบ 100% เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมทุกตลาด"

ปี49 เปิด 16 โปรเจกต์ กว่า 16,400 ล้าน

นายเศรษฐากล่าวว่า สำหรับโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 4 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.ย่านถนนสนามบินน้ำ ราคา 4-6 ล้านบาท จำนวน 408 ยูนิต มูลค่า 2,240 ล้านบาท พัฒนาโดยบริษัทแสนสิริ 2. ย่านถนนประชาชื่น ราคา 6-9 ล้านบาท จำนวน 610 ยูนิต เนื้อที่ 200 ไร่ ตรงข้าม ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ พัฒนาโดยบริษัทแสนสิริ มูลค่า 5,200 ล้านบาท 3.ย่านถนนราชพฤกษ์ ราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 300 ยูนิต มูลค่า 1,500 ล้านบาท และย่านรามอินทรา ราคา 1-3 ล้านบาท จำนวน 520 ยูนิต มูลค่า 1,020 ล้านบาท พัฒนาผ่านบริษัทพร้อมพัฒนาฯ

ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมจะมีการเปิดตัว ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (ซีบีดี) และทำเลที่มีการ คมนาคมสะดวกอีก รวมประมาณ 6-8 โครงการ จำนวน 1,913 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,000 ล้านบาท ระดับราคา 1-3 ล้านบาท พัฒนาผ่านบริษัทแสนสิริ และพลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ สำหรับโครงการทาวน์เฮาส์จะมีการพัฒนาโครงการใหม่อีก 4 โครงการ จำนวน 558 ยูนิต มูลค่าโครงการขายประมาณ 2,400 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะพัฒนาโครงการ ที่พักตากอากาศในแหล่งท่องเที่ยวอีก 1-2 โครงการ ผ่านบริษัท เรดโลตัส พร็อพเพอร์ตี้

สำหรับในปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทแสนสิริ มีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัย แบ่งเป็นเปิดตัว โครงการคอนโดฯเพิ่มขึ้น 2 โครงการ โดยในส่วน ที่เปิดขายไปก่อนหน้านี้ มีการพัฒนาและส่งมอบ ให้กับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว 7 โครงการ และที่จะสร้างเสร็จในปี 2549 นี้อีก 8 โครงการ ส่วนโครงการบ้านเดี่ยวมีการเปิดตัวไปในช่วงก่อนหน้านี้มี 9 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านจัดสรรระดับพรีเมียมระดับราคา 10-60 ล้านบาท จำนวน 4 โครงการ โครงการบ้านจัดสรรระดับราคา 6-10 ล้านบาท จำนวน 4 โครงการ และโครงการบ้านจัดสรรระดับราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 1 โครงการ และโครงการทาวน์เฮาส์ ที่พัฒนาโดยบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เปิดตัวไปแล้วจำนวน 5 โครงการ ปัจจุบันมีจำนวนยูนิตเหลือขายจากปี 2548 จำนวน 1,010 ยูนิต มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท

"แผนธุรกิจในปี 2549 สิ่งที่จะเห็นได้ชัดเจน คือ กลุ่มบริษัทแสนสิริจะเป็นผู้นำในการพัฒนา โครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจรที่สุด มีกว่า 30 โครงการ เฉพาะโครงการใหม่ก็มีมูลค่าการขายประมาณ 16,400 ล้านบาท มีจำนวนยูนิตการอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นประมาณ 4,300 ยูนิต ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่อาศัยเดิมที่มีการพัฒนาอยู่แล้ว ทำให้มีจำนวนที่อยู่อาศัยรองรับการพัฒนาและการขายรวมทั้งสิ้น 5,300 ยูนิต หรือมีมูลค่าการขายรวมประมาณ 27,400 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการพัฒนาธุรกิจได้อีก 2-3 ปี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแสนสิริจะขยายฐานตลาดที่อยู่อาศัยลงสู่ตลาดระดับ 1-3 ล้านบาทมากขึ้น แต่เรายังคงให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้มีดีไซน์สวยงาม ดำเนินการก่อสร้าง ให้ได้มาตรฐาน และใช้วัสดุที่มีคุณภาพ" นายเศรษฐา กล่าว

เปิด 2 บริษัทใหม่ขยายฐานลูกค้า

สำหรับบริษัทในเครือที่เปิดใหม่ ได้แก่ บริษัทพร้อมพัฒนา จำกัด นั้น บริษัทจัดตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนาบ้านระดับล่าง ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยโครงการ แรกจะพัฒนาในย่านรามอินทรา เป็นบ้านแฝด ราคา 1.89 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในปลายไตรมาส 1 ส่วนโครงการต่อเนื่องนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนบริษัท เรด โลตัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวในต่างจังหวัด ระดับราคา 4.5-12 ล้านบาท โดย 90% จับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ อาทิ ประจวบคีรีขันธ์, ระยอง, ภูเก็ต, ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี โดยจะเปิดโครงการแรกที่ประจวบคีรีขันธ์เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 27 ยูนิต

ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวม 19,314.65 ล้านบาท เป็นอันดับสองในตลาดหลักทรัพย์ ทุนจดทะเบียน 8,000 ล้านบาท มีหนี้สินต่อทุน 1 : 0.7 เท่า มีกระแสเงินสดในมือ 1,000 ล้านบาท

"การขยายตลาดดังกล่าว ก็เพื่อเป็นการขยายการเติบโตของบริษัท เพราะเมื่อบริษัทมีการ เติบโตมากแล้ว ตลาดในกรุงเทพฯและปริมณฑล จึงไม่สามารถรองรับการเติบโตได้ ดังนั้น จำเป็นต้องขยายการลงทุนไปในสินค้าทุกระดับราคา และกระจายทำเลไปยังต่างจังหวัดด้วย"

สำหรับการจัดตั้งพร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ บริษัทยังคงให้ความสนใจ แต่เนื่องจากภาวะตลาดในขณะนี้ไม่เอื้ออำนวย อาจส่งผลให้ไม่ประสบความ สำเร็จในการจัดตั้งได้ เพราะที่ผ่านมามีหลายบริษัทล้มเหลวในการจัดตั้งกองทุน ส่วนการออกบอนด์ เดิมบริษัทได้ขออนุมัติผู้ถือหุ้นไว้ ในปี 2548 จำนวน 3,000 ล้านบาท แต่ไม่ได้ดำเนินการ เพราะตลาดไม่เหมาะสม ส่วนในปีนี้จะเสนอเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นอีกครั้งในเดือนเมษายนนี้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us