|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ซีอีโอ "จีเอ็ม"เชื่อวิกฤตในอเมริกาเหนือ ไม่ส่งผลต่อ ตลาดภูมิภาคเอเชีย และประเทศไทย ยันยังจะเดินหน้าสร้างแบรนด์ ให้แข็งแกร่งต่อไป โดยมีไทยเป็นหัวหอกสำคัญผลักดันบทบาทจีเอ็ม ในตลาดเอเชียเพิ่มขึ้น หวังชิงแชร์จากค่ายรถญี่ปุ่นที่ครองมานาน หลังจากในปีที่ผ่านมาทำยอดขายในไทยพุ่งเกือบเท่าตัว เผยแผน ป้องตลาดในบ้านตัวเองด้วยโปรดักต์ ใหม่รองรับทุกความต้องการลูกค้า พร้อมปลอบใจปีนี้สถานการณ์น่าจะดีขึ้น
นายริค แวกอนเนอร์ ประธาน กรรมการบริหาร บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น หรือ "จีเอ็ม" ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก เปิดเผยว่า จากการประสบปัญหาขาดทุนของจีเอ็มในตลาดอเมริกาเหนือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยอดขายตกต่ำ ทั้งยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพพนักงาน ส่งผลให้ต้องมีการปรับลดคนงานครั้งใหญ่ในปีที่ผ่านมา แต่ทั้งหมดจะไม่มีผลกระทบต่อตลาดในเอเชีย รวมถึงประเทศไทยอย่างแน่นอน
"ถึงแม้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะกระทบกับภาพลักษณ์ของจีเอ็ม แต่ผลประกอบการในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ยังสร้างผลกำไรอยู่ ที่สำคัญเรามีแผนที่จะสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียอยู่แล้ว โดยเฉพาะ ในประเทศไทย และอาเซียน ซึ่งถือ ว่ามีการเจริญเติบโตอยู่ในระดับสูง ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์หรือปัญหาใดๆ จีเอ็มจะยังคงต้องเดินหน้าสร้างแบรนด์ในภูมิภาคเอเชียให้แข็งแกร่งต่อไป"
สำหรับจีเอ็มในประเทศไทย ที่สามารถทำยอดขายได้อย่างน่าพอใจ โดยมีการเจริญเติบโตถึง 96% ทำให้จีเอ็มมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดภูมิภาคนี้ ทั้งยังสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาด จากผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ ที่ทำตลาดในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน จึงถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
โดยผลการดำเนินงานสิ้นสุด ปี 2005 รถยนต์ในเครือของจีเอ็มมียอดขายทั่วโลกถึง 9.2 ล้านคัน ซึ่งมากกว่า 50% เป็นยอดขายนอก สหรัฐอเมริกา โดยแบ่งเป็นตลาดเอเชียแปซิฟิกขายได้มากกว่า 1 ล้านคัน ส่วนตลาดละตินอเมริกาทำยอดได้เกือบ 1 ล้านคัน ขณะที่ประเทศจีนสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 650,000 คัน
นายแวกอนเนอร์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ในรอบปี 2004-2005 ที่ผ่านมา มีปัญหาตรงที่ยอดขายของรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ หรือเอสยูวี มียอดขายลดลง เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยหันมาใช้รถยนต์ที่มีขนาดเล็กลง ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากภาวะราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีส่วนต่างกำไรน้อยลง เพราะรถเอสยูวีถือเป็นโปรดักต์ที่สามารถสร้างยอดขายและทำกำไรให้กับจีเอ็มตลอดหลายปีที่ผ่านมา
"ปัญหาหลักของจีเอ็มอีกประการ คือ เรื่องของสวัสดิการพนักงาน ซึ่งเป็นปัญหาภายในที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างองค์กร โดยในปีนี้จะได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ด้วยการพยายามตกลง กับสหภาพแรงงานในสหรัฐอเมริกา เรื่องที่จะขอลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการประกันสุขภาพของพนักงานลง โดยในปีแรกจะสามารลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นในปีต่อๆไปจะสามารถลดได้ประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปีเลยทีเดียว"
ทั้งหมดถือเป็นการปรับปรุงองค์กรเพื่อก้าว ไปข้างหน้า ขณะเดียวกันต้องทำให้ตลาดอื่นๆทั่วโลกประสบความสำเร็จด้วย จึงทำให้จีเอ็ม โกลบอลมากขึ้น คือจะมีการใช้โปรดักต์ หรือชิ้นส่วนในแต่ละภูมิภาคร่วมกัน เพื่อลดต้นทุนในการผลิต ทั้งยังต้องเพิ่มความสามารถในการผลิตให้สามารถแข่งขันในตลาดที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยในปีนี้เรามองภาพในเชิงบวกว่าทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะดีขึ้น
สำหรับกลยุทธ์ในการเข้าไปถือหุ้น หรือซื้อ แบรนด์อื่นๆ นั้น ยังไม่มีแผนในตอนนี้ แต่สิ่งสำคัญกว่าจะต้องทำให้แบรนด์ที่มีอยู่ในมือแข็งแกร่งมากขึ้น โดยมีโตโยต้าเป็นคู่แข่งที่สำคัญ รวมถึงค่ายรถยนต์อื่นๆ ที่พยามยามเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในอเมริกา ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันอย่างหนักหน่วง ทำให้เราต้องมีรถยนต์ที่มีคุณภาพ รวมถึงความคุ้มค่าราคา และการที่จะต้องมีโปรดักต์หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ
|
|
|
|
|