"กระเบื้องตราเพชร" ทุ่ม 500 ล้านบาท ขยาย 3ไลน์การผลิตอีก 50,000 กว่าตันต่อปี หลังกำลังการผลิตเต็มไม่สามารถรองรับความต้องการในตลาดได้เพียงพอ ตั้งเป้าปี49 ยอดขายพุ่ง 2,600 ล้านบาท โตกว่า 20% จากปี 47 พร้อมเตรียมขยายตลาดส่งออกเพิ่มเป็น 10% อีก3-5ปี รับมือลูกค้าในประเทศลดการใช้กระเบื้องกลุ่มไฟเบอร์ซิเมนต์
นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการ สายการขายและการตลาด บริษัท กระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าที่จำหน่ายอยู่ในตลาด ประกอบด้วย กลุ่มกระเบื้องไฟเบอร์ซิเมนต์ ,กลุ่มกระเบื้องคอนกรีต ,กลุ่มไม้ฝา และกลุ่มสินค้าเจียระไน โดยมีกำลังการผลิตสินค้าทั้ง4 กลุ่มรวม 450,000 ตันต่อปี ซึ่งในปีที่ผ่านมา ตลาดกระเบื้องมีอัตราการขยายตัวที่สูง ทำให้สินค้าในตลาดยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดรวมมีอัตราการขยายตัวประมาณ 15% และในปี2549 นี้ คาดว่าอัตราการเติบโตของตลาดรวมจะอยู่10-15% ในขณะที่บริษัทใช้กำลังการผลิตเต็มแล้ว
ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก3ไลน์การผลิต โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ใช้งบลงทุนในการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 500 ล้านบาท เพื่อขยายไลน์การผลิตในส่วนของกลุ่มกระเบื้องเจียระไน ไลน์ที่ 7 ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 18,000 ตัน และไลน์การผลิตที่ 8 โดยจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 42,000 ตัน ส่วนไลน์ที่3 เป็นการเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของกระเบื้องคอนกรีต ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 12,000 ตันต่อปี การเพิ่มกำลังการผลิตครั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องการผลิตได้ครบทั้ง 3 ไลน์ในไตรมาสที่ 3 ของปี49 นี้
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้เดินเครื่องการผลิตในส่วนของไลน์ที่ 7 ไปแล้ว ทำให้ขณะนี้ กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในบางส่วน ทั้งนี้ หากสามารถเดินเครื่องผลิตได้ครบทั้ง 3 ไลน์จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 กว่าตันต่อปี โดยงบลงทุนในการขยายกำลังการผลิต มีวงเงิน 500 ล้านบาท แยกเป็น กระแสเงินสดของบริษัทจำนวน200ล้านบาท และเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงินอีก 300 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัท หนี้สินต่อทุน(D/E) เพียง 0.3 เท่า
สำหรับผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทฯมียอดขายรวมเท่ากับปี 2547 ที่ทำได้ 2,000 กว่าล้านบาท เนื่องมาจาก บริษัทได้ใช้กำลังการผลิตไปเต็มที่แล้ว ทำให้ไม่สามารถขยายตลาดเพิ่มได้ แต่หลังจากที่เพิ่มกำลังการผลิตใน3 ไลน์ดังกล่าวแล้ว เชื่อว่าจะทำให้ยอดขายของบริษัทขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก โดยในปีนี้ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นรวม 2,600 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 20% ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าที่ทำการตลาดอยู่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แยกเป็น กลุ่มกระเบื้องคอนกรีตเพิ่มขึ้น 5-10% จากปัจจุบัน 25% ,กลุ่มไม้ฝาคาดเพิ่มขึ้นอีก 15% โดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มสินค้าเจียระไนหลังจากที่เดินเครื่องแล้ว คาดว่าทั้งปีจะมียอดขายเพิ่มขึ้นอีก 100% หรือมียอดขายเพิ่มเป็น 200 ล้านบาทจากปีที่ผ่านมา มียอดขายอยู่100ล้านบาท และคาดว่าในอนาคตตลาดในกลุ่มนี้จะขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่วนกลุ่มสินค้ากระเบื้องไฟเบอร์ซิเมนต์ มีส่วนแบ่ง 60%
" กลุ่มกระเบื้องเจียระไน เป็นกลุ่มสินค้าใหม่ ซึ่งเดิมเป็นสินค้าในกลุ่มไม้ฝา แต่หลังจากที่ได้ศึกษาความต้องการของลูกค้าในตลาด พบว่าตลาดมีความต้องการสินค้าชนิดใหม่ ดังนั้นจึงพัฒนากลุ่มเจียระไน ซึ่งมีส่วนประกอบไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมออกมา และกำลังได้รับความนิยมมาก และคาดในอนาคตตลาดนี้จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก " นายสาธิตกล่าว
สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดนั้น นายสาธิต กล่าวว่า จะเน้นการกระจายสินค้าในตลาดผ่านตัวแทนจำหน่ายให้มากขึ้น โดยขณะนี้บริษัทมีตัวแทนจำหน่ายในประเทศรวม 600 ราย ซึ่งได้เริ่มส่งเสริมให้ตัวแทนจำหน่ายมีการพัฒนารูปแบบร้านค้าเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดได้คัดเลือกตัวแทนจำหน่ายที่มียอดขายใน20 อันดับแรก ประมาณ 30% หรือประมาณ 200 ราย จากตัวแทนจำหน่ายทั้งหมด เพื่อส่งเสริมให้พัฒนารูปแบบร้านค้าเป็นโมเดิร์นเทรด ให้สามรถแข่งขันกับคู่แข่งได้ โดยบริษัทจะเข้าไปส่งเสริมและช่วยเหลือ ในส่วนของการส่งเสริมการขายและจัดหาวัสดุอุปกรณ์ จัดรูปแบบร้านค้า และการให้ส่วนลดราคาขายแก่ตัวแทนจำหน่าย เป็นต้น
วางเป้า3-5% เพิ่มพอร์ตส่งออก
นายสาธิตกล่าวถึงตลาดการส่งออกว่า การทำตลาดในส่วนนี้ยังมีอัตราส่วนที่ไม่มาก โดยมีรายได้จากการส่งออกเพียง 5% ที่เหลือจะเป็นรายได้หลักจากในประเทศ 95% แยกเป็น การขายผ่านตัวแทนจำหน่าย ประมาณ90% และขายตรงให้แก่โครงการบ้านจัดสรร10% อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการส่งออกให้เป็น 10% ในระยะ3-5 ปี โดยให้ความสำคัญกับตลาดในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ประเทศลาว, เขมร ,พม่า และมาเลเซีย รวมไปถึงการเพิ่มตลาดในส่วนของประเทศจีน ,เกาหลี และไต้หวันให้มากขึ้น
" ที่ต้องขยายตลาดส่งออก เพื่อรองรับสินค้าในกลุ่มไฟเบอร์ซิเมนต์ ซึ่งในอนาคตความต้องการใช้ในประเทศจะเริ่มลดลง เนื่องจากลูกค้าหันมาใช้สินค้าในกลุ่ม เจียระไนเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทต้องหาตลาดใหม่เพื่อรองรับสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน" นายสาธิตกล่าว
|