"แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์"ประกาศปรับโครงสร้างผู้บริหาร "โอภาส ศรีพยัคฆ์ "ลูกหม้อจ่อคิวเอ็มดีคนใหม่ แทน "ทิฆัมพร เปล่งศรีสุข"ที่ขึ้นแท่นเก้าอี้ซีอีโอ หวังเปิดทางคนรุ่นใหม่ไฟแรงแสดงฝีมือเต็มที่ หลังวางระบบการทำงานแน่นปึ๊ก พร้อมลุยโครงการใหม่ 5 แห่ง มูลค่า 8,600 ล้านบาท
ต้องยอมรับว่าปัจจุบันความต้องการคอนโดมิเนียมมีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอนโดมิเนียมระดับกลางที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเกินไป และใกล้โครงข่ายระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ หรือระบบราง กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก จนทำให้ผู้ประกอบการหลายรายแห่เข้ามาทำตลาดกันจำนวนมาก
บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 31%ในปีก่อน ที่มียอดโอนประมาณ 3,420 ยูนิต จากจำนวนที่คาดว่าจะมีการโอนทั้งตลาดราว 11,000 ยูนิต ยังต้องปรับประบวนทัพ เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยมีการผลักดันคนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์ และทำงานร่วมกับบริษัทมานานขึ้นนั่งในตำแหน่งที่ใหญ่ เพื่อให้สามารถแสดงฝีมืออย่างเต็มที่
ล่าสุด ทิฆัมพร เปล่งศรีสุข ได้ขึ้นแท่นตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร จากเดิมที่รั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และเตรียมแต่งตั้ง โอภาส ศรีพยัคฆ์ นั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการแทน โดยก่อนหน้านี้โอภาส นั่งตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจ ดูแลงานวิจัยและพัฒนามาอย่างช่ำชอง รวมถึงร่วมงานกับแอล.พี.เอ็น.ฯมานานกว่า 10 ปี
ชี้ปรับโครงสร้างไม่เกี่ยวการแข่งขันแรง
แต่อย่างไรก็ตาม ทิฆัมพร กล่าวว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น แต่ต้องการให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือย่างเต็มที่ หลังจากที่ทำงานอยู่เบื้องหลังมานาน ที่สำคัญ เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของแอล.พี.เอ็น.ฯ อยู่ที่การทำให้บริษัทมีความเป็นมืออาชีพ การทำงานอยู่ในระบบทุกขั้นตอน ไม่ได้ผูกติดกับใครคนใดคนหนึ่ง และไม่ว่าใครก็ตามที่นั่งในตำแหน่งผู้บริหารจะต้องดำเนินการด้วยความเป็นระบบเป็นมืออาชีพ นั่นคือ เหตุผลหลักเหตุผลหนึ่งที่ทำให้บริษัท แอล.พี.เอ็น.ฯปรับโครงสร้างบุคคลากรระดับผู้บริหารครั้งนี้
"การผลักดันให้โอภาส ศรีพยัคฆ์ นั่งเก้าอี้เอ็มดี และผมขึ้นแท่นซีอีโอ ไม่ได้หมายความว่า การแข่งขันในตลาดคอนโดมเนียมรุนแรง จนทำให้แอล.พี.เอ็น.ฯต้องเปลี่ยนขุนพลกะทันหัน แต่การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถของตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่อยู่ข้างหลังเหมือนที่ผ่านมา"ทิฆัมพร ยืนยัน
ซีอีโอ คนใหม่ กล่าวด้วยว่า สไตล์การทำงานของแอล.พี.เอ็น.ฯยังคงเหมือนเดิม ตามนโยบายที่ทำกันมาอย่างต่อเนื่อง และคิดว่าเป็นนโยบายที่ดี ทำให้แอล.พี.เอ็น.ฯเติบโตขึ้นจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจรอบที่แล้ว ทำให้บริษัทสามารถฝ่าฟันอุปสรรคมาได้
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ยอมรับว่า มีความกังวลอย่างมาก จนคิดว่าบริษัทคงล้มแน่ ๆ แต่ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ จึงระดมสมองจากทุกฝ่าย ตั้งแต่พนักงานระดับล่าง ระดับกลาง และผู้บริหารระดับสูง เพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหา ตรวจสอบหาสาเหตุของปัญหาทุกจุดอย่างละเอียด และเร่งแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ สามารถทำให้องค์กรอยู่รอดและเติบโตมาถึงทุกวันนี้
ดังนั้น หากการทำงานของทีมงานยังทำงานในสไตล์เดิมก็เชื่อว่า ไม่ว่าใครจะมานั่งตำแหน่งไหนก็จะทำให้บริษัทเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยทิฆัมพร ไม่ได้ทิ้งบริษัทไปไหน แต่จะนั่งอยู่บนหอคอย เพื่อวางกลยุทธ์ ให้ทีมงานและดูการทำงานของเอ็มดีคนใหม่ ทั้งนี้ หากเห็นว่าเอ็มดีทำงานไม่ได้ หรือได้ไม่ดี ก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนให้คนใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่แทน ซึ่งจากนี้ไป คงต้องรอดูผลงานของโอภาส ว่าจะไปในทิศทางใด
"ผมคงจะนั่งดูทีมงานซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ทำงานไปเรื่อย ๆ ส่วนการตัดสินใจเรื่องใหญ่ ๆ จะมีส่วนร่วมด้วยเสมอ อาทิ การเลือกซื้อที่ดิน และการวางคอนเซ็ปต์โครงการใหม่ แต่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เพราะคนรุ่นใหม่มีแนวคิดสมัยใหม่ที่ดีและเรานึกไม่ถึง"ทิฆัมพร กล่าว
เตรียมลุยเปิดโครงการ 5 แห่ง
สำหรับแผนการลงทุนโครงการใหม่ในปีนี้ โอภาส รักษาการ กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ 5 แห่ง คิดเป็นมูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมพักอาศัยทั้งหมด โดยในช่วงครึ่งปีแรกจะเปิดตัวก่อน 3 แห่ง ได้แก่
1.ลุมพินี เพลส พหล-สะพานควาย เป็นคอนโดมิเนียมพักอาศัย สูง 28 ชั้น 2 อาคาร ตั้งอยู่บนถนนประดิพัทธ์ จำนวน 1,100 ยูนิต มูลค่า 2,000 ล้านบาท จะเปิดพรีเซลล์วันที่ 20-22 ม.ค.นี้
2.ลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า เฟส 2 เป็นคอนโดมิเนียมพักอาศัย จำนวน 600 ยูนิต มูลค่า 1,200 ล้านบาท
และ 3.ลุมพินี เพลส ท่าพระ เป็นคอนโดมิเนียมพักอาศัย จำนวน 1,200 ยูนิต มูลค่า 2,400 ล้านบาท ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดตัวอีก 2 แห่ง ได้แก่ 1.ลุมพินี เซ็นเตอร์ มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท และ2.ลุมพินี เพลส มูลค่าราว 1,500 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการในปีที่ผ่านมา ทิฆัมพร กล่าวว่า มียอดขายรวม 4,100 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2547 ถึง 60% และมีรายได้รวมประมาณ 3,600 ล้านบาท เติบโตขึ้นเกือบ 50% หรือปี 2547 มีรายได้รวมเพียง 2,500 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายเติบโตขึ้นในปีนี้ 30% จากปีก่อน และมั่นใจว่าใน 2-3 ปีข้างหน้าจะมียอดขายแตะระดับ 10,000 ล้านบาท เพราะจะมีการลงทุนโครงการใหม่ ๆ ทุกปี
โดยปีนี้ตั้งงบไว้สำหรับซื้อที่ดิน 1,500 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนที่ตั้งงบซื้อที่ดินไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เพราะปีก่อนใช้เงินไม่หมด จึงผลักงบประมาณที่เหลือมาไว้ในปีนี้ ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกจะซื้อที่ดิน 700-800 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะสรุปผลได้ในไตรมาสแรก ทั้งนี้ นโยบายของบริษัทไม่ต้องการถือครองที่ดินไว้นานเกินไป แต่ต้องการซื้อแล้วลงทุนทันที เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยลบจากภายนอกที่คาดไม่ถึง
|