ธนาคารกสิกรไทยคาดสินเชื่อปีนี้โต 8-9% พร้อมตั้งสายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ รุกสินเชื่อลูกค้าเอสเอ็มอี ประกาศ 3 ปี ส่วนแบ่งตลาดโต 30% แซงหน้ากรุงไทย ขึ้นแท่นครองส่วนแบ่งเป็นอันดับ1 ในระบบธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ปี49 ตั้งเป้าสินเชื่อโต 16% เติบโตเป็น 3 เท่าของจีดีพีที่คาดโตระดับ 4.5-5%
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการของธนาคารปี 2549 ว่าน่าจะเติบโตดีกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากปัจจัยผันผวน เช่น ราคาน้ำมันคงจะไม่รุนแรงเท่าปีที่แล้ว โดยคาดว่าสินเชื่อธนาคารจะขยายตัวประมาณ 8-9% หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 55,000-60,000 ล้านบาท
“คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 4-5% แต่ที่น่าจับตามอง คือ อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งอาจจะส่งผลต่อภาคธุรกิจและการบริโภคในปีนี้ แต่ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยบวกอื่น เช่น การส่งออก การลงทุนของรัฐบาลในโครงการเมกะโปรเจกต์ การเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิรวมถึงเม็ดเงินไหลเข้าจากต่างประเทศ”
นายบุญทักษ์ กล่าวว่า ธนาคารได้ตั้งสายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ เพื่อให้บริการลูกค้าเอสเอ็มอีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และครบวงจรมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกลุ่มเอสเอ็มอีเป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยตลาดเอสเอ็มอีมีสัดส่วนสูง 38.1% ของจีดีพี จากผู้ประกอบการในประเทศประมาณ 2 ล้านราย
สำหรับกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีของธนาคารกสิกรไทย ที่มียอดขายไม่เกิน 400 ล้านบาทต่อปี มี สินเชื่อในปี 2548 รวมประมาณ 309,288 ล้านบาท คิดเป็นยอดสินเชื่อเพิ่ม 39,779 ล้านบาทจากปี 2547 เติบโตประมาณ 15% ซึ่งเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของสินเชื่อทั้งหมดของธนาคาร ซึ่งในปี 2549 ธนาคารได้ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีเพิ่ม 16% หรือเติบโตประมาณ 3 เท่าของจีดีพี ที่คาดว่าปีนี้จะโต 4.5-5%
ทั้งนี้ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยมีส่วนแบ่งตลาดกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีประมาณ 24% และมีเป้าหมายจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 30% ภายใน 3 ปี ขณะที่ธนาคารกรุงเทพมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 27% ธนาคารกรุงไทย 16% และอื่นๆรวม 33%
นายบุญทักษ์ กล่าวว่า ธนาคารมีเป้าหมายการระดมทุนให้กับลูกค้า มีทั้งรูปแบบการปล่อยสินเชื่อ และการออกตราสารหนี้ ซึ่งคาดว่าในปีนี้ธนาคารจะมีการระดมทุนในรูปตราสารหนี้ประมาณ 150,000-200,000 ล้านบาท และในรูปสินเชื่อประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท ส่วนกรณีค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นตั้งแต่ต้นปีนั้น เชื่อว่าจะไม่ได้เป็นภาวะถาวร
“ขณะนี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ยังไม่ได้เกิดผลกระทบใดๆ ต่อลูกค้า แต่ถ้าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ก็คงจะมีผลต่อภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม จากการคาดการณ์การส่งออกปีนี้ จะเติบโตน้อยกว่าปีที่แล้ว โดยจะขยายตัวที่ 12-13% แต่เชื่อว่า ตลอดทั้งปีจะไม่มีความผันผวนมากนัก ซึ่งธนาคารมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงทั้งการทำ สวอปและ ออพชั่นที่พร้อมจะให้บริการลูกค้าอยู่แล้ว”
นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า การปรับโครงสร้างโดยการตั้งสายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ จะช่วยให้มีการกำหนดรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่สามารถตอบสนองลูกค้าเอสเอ็มอีในแต่ละกลุ่มชัดเจนขึ้น โดยธนาคารได้แบ่งกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดกลางมียอดขายระหว่าง 50-400 ล้านบาทต่อปี กลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดเล็กมียอดขายระหว่าง 10-50 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจขนาดย่อมที่มียอดขายไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของสายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ จะเน้นขยายฐานลูกค้าในกลุ่มลูกค้าขนาดย่อมและเล็ก สร้างรายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากกลุ่มลูกค้าขนาดกลาง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เริ่มมีความต้องการในการให้บริการทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น เช่น บริการการจัดการทางการเงิน บริการด้านธุรกิจนำเข้าและส่งออก มีการออกบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองลูกค้าแต่ละกลุ่ม มีเจ้าหน้าที่ดูแลลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจน โดยจะมีศูนย์ธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ และศูนย์ย่อยธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการ ทั้งหมด 116 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ให้บริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
ตั้ง3รองกรรมการผจก.
ธนาคารกสิกรไทย ได้ออกประกาศแต่งตั้ง 3 รองกรรมการผู้จัดการ ได้แก่ 1.นายศาศวัต วีระปรีย ดูแลสายงานบริหารเครดิต การแก้ไขหนี้ ปรับโครงสร่างหนี้ 2.นายกฤษฎา ล่ำซำ ดูแลงานธุรกิจลูกค้าบุคคลและเครือข่ายบริการ รับผิดชอบสาขาของธนาคาร การทำธุรกิจ รวมถึงความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจรายย่อย และลูกค้าส่วนบุคคล และ 3. นายธีรนันท์ ศรีหงส์ ดูแลสายงานระบบ รับผิดชอบการจัดหาและพัฒนาระบบงานกระบวนการทำงานทั้งหมดของธนาคาร ทั้งที่เป็นระบบสารสนเทศและงานสนับสนุนอื่น
|