ซิโน-ไทยฯ ขอตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเครื่องหมายเอสพี ห้ามซื้อขายหุ้น หวั่นกระทบราคาบนกระดาน เหตุอยู่ระหว่างการทำบุ๊กบิวท์ราคาหุ้นเพิ่มทุนที่กำลังจะขายให้กับนักลงทุนในวงเงินจำกัดจำนวน 160 ล้านหุ้น นักวิเคราะห์ คาดการณ์ราคาขายหุ้นละประมาณ 11 บาท ทำให้ได้เม็ดเงินรวมกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อรองรับงานโครงการเมกะโปรเจกต์
นายวรพันธ์ ช้อนทอง กรรมการรองผู้จัดการสายงานการเงินและบริหาร บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC กล่าวถึง ความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อบุคคลในวงจำกัด (PP) ว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณากำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญด้วยวิธี Book Building ซึ่งนักลงทุนดังกล่าวเป็นนักลงทุนสถาบันต่างประเทศทั้งใน ยุโรป และเอเชีย ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อราคาซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท ดังนั้น บริษัทจึงขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีคำสั่งห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ (SP) เป็นเวลา 1 วัน ในวันที่ 12 มกราคม 2549
ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 3/2548 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2548 และผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2548 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2548 โดยจะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 1,190,250,000 บาท เป็น 1,350,250,000 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่เพิ่มทุนจำนวน 160,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายให้กับบุคคลในวงจำกัด
สำหรับวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการของบริษัท เนื่องจากบริษัทมีโครงการที่จะดำเนินงานเพิ่มมากขึ้น และจะสนับสนุนให้บริษัทมีโอกาสทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถจ่ายผลตอบแทนในรูปเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ให้ความเห็นว่า STEC น่าจะเสนอขายหุ้นในนักลงทุนในวงจำกัดในราคาส่วนลดจากราคากระดาน 10-15% หรือประมาณ 11 บาท ขณะที่ราคาในกระดานหลักทรัพย์อยู่ที่หุ้นละ 13 บาท ซึ่งจะทำให้บริษัทได้เงินประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้จะส่งผลดีต่อฐานะการเงินของบริษัท ช่วยลดภาระการกู้เงิน เพราะมีพันธมิตรเข้ามาช่วยสนับสนุนด้านเงินทุน หรือพันธมิตรที่เข้ามาอาจมีความชำนาญด้านงานก่อสร้างจะช่วยด้านโอกาสในการประมูลงาน
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของพันธมิตรใหม่อาจทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกกังวลว่าในอนาคตหากราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงต่ำ นักลงทุนอาจเทขายออกมา และอาจเกรงว่าราคาหุ้นอาจจะได้รับผลกระทบจากการเพิ่มทุน (ไดลูชั่นเอฟเฟค) แต่ประเด็นดังกล่าวได้รวมอยู่ในประมาณการแล้วจึงคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับราคาหุ้นหลังจากประกาศราคาเสนอขายหุ้น PP มากนัก
ขณะเดียวกัน การเพิ่มทุนครังนี้เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการประมูลงานโครงการเมกะโปรเจกต์ โดยไม่นับโครงการส่วนขยายรถไฟฟ้า สำหรับงานภาครัฐงบประมาณปี 49 มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท บริษัทคาดว่าจะชนะงานประมูลจากโครงการดังกล่าวประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินทุนที่มีอยู่ในปัจจุบันเพียงพอสำหรับรับงานใหม่ แต่การขายหุ้นเพิ่มทุนจะช่วยลดภาระการกูยืมเงินในอนาคตหากบริษัทจำเป็นต้องใช้เงินเพิ่ม ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ตั้งเป้ารายได้ปี 2549 ไว้ที่ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท
|