บลจ.ไทยพาณิชย์ประกาศลั่นขอเป็นเบอร์หนึ่งธุรกิจกองทุนรวม แซงแชมป์ เก่าบลจ.กสิกรไทย หลังสินทรัพย์ทะลุ 1.1 แสนล้านบาท มาร์เกตแชร์ขยับขึ้นเป็นเบอร์สอง ปี 49 ประกาศบุกกองทุนหุ้น-ตราสารหนี้ภาครัฐ พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ และกองทุนรวมลงทุนต่างประเทศ (FIF) คาด NAV อยู่ที่ระดับ 1.2 แสนล้านบาท ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มเป็น 3 แสนราย
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้อำนวย การ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปีนี้ว่า บริษัทตั้งเป้ารักษาระดับมูลค่า ทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ภายใต้การอยู่ที่ 1.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 113,824 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาด (มาร์เกตแชร์) อันดับที่ 2 รองจาก บลจ.กสิกรไทยที่ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1
สำหรับสาเหตุที่ในปีนี้ตั้งเป้าไว้ 1.2 แสนล้าน บาท เนื่องจากมีกองทุนตราสารหนี้รัฐบาลที่ครบ อายุ ส่งผลให้ต้องเร่งรักษาฐานลูกค้ากลุ่มดังกล่าว ไว้ และเปิดตัวกองทุนใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร
"ในปีนี้เราตั้งเป้าหมายขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจกองทุนรวม โดยบริษัทจะให้น้ำหนักกับกอง ทุนหุ้นมากขึ้น ซึ่งเราเตรียมออกกองทุนหุ้นค้ำประกันเงินต้น ซึ่งได้มีการศึกษารูปแบบการจัดตั้งมาพอสมควร โดยจะผูกติดกับอนุพันธ์ นอก จากนั้น กองทุนตราสารหนี้ภาครัฐก็จะทำการออก อย่างต่อเนื่อง เพราะมีบางส่วนที่ครบอายุโครงการ ขณะเดียวกันในส่วนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บริษัทอยู่ระหว่างคัดเลือกสินทรัพย์ เพื่อจัดตั้งกองทุน และสุดท้ายกองทุนรวมลงทุน ในต่างประเทศ (FIF) บริษัทมีแผนออกเช่นเดียวกัน เพื่อเพิ่มขนาดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิให้ได้ตามเป้า" นายอดิศรกล่าว
สำหรับภาพรวมการบริหารกองทุนของบริษัทในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร 113,824 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 42,989 ล้านบาท หรือเติบโต 165% ทำให้มาร์เกตแชร์ของบริษัทขยับมาเป็นอันดับสองรอง จากบลจ.กสิกรไทย โดยคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 14.76% สูงขึ้นจากปี 2547 ที่มีส่วนแบ่งตลาดในอันดับ 5 หรือ 8.86%
นายอดิศร กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการในปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สะสมทรัพย์ตราสารหนี้ ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 51,850 ล้านบาท หรือเติบโต 290% จากปี 2547 ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 13,297 ล้านบาท และกอง ทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาลที่เปิดขายในปีที่แล้วมีขนาดสินทรัพย์รวมอีก 40,000 ล้านบาท นอกจากนี้ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ของบริษัทยังได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก ณ สิ้นปี 2548 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 3,727 ล้านบาท มีมาร์เกตแชร์อันดับหนึ่งในธุรกิจกองทุนรวม
"แผนการดำเนินงานหลักๆ ในปีนี้ เราให้ความสำคัญกับการขยายฐานลูกค้า ซึ่งปัจจุบันเรามีฐานลูกค้าประมาณ 1 แสนราย และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3 แสนรายในสิ้นปีนี้ ขณะเดียวกันเราจำเป็นต้องเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้า และสร้างความผูกพันกับลูกค้ามากขึ้นเช่นเดียวกัน" นายอดิศรกล่าว
เขากล่าวต่อว่า ธุรกิจกองทุนรวมยังมีโอกาสขยายตัวได้อีก โดยฐานลูกค้าของบริษัทที่มีอยู่ 1 แสนรายในปัจจุบัน ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับฐานลูกค้าเงินฝากของธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีกว่า 6-7 ล้านคน และกลุ่มลูกค้าที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมมีประมาณ 7 แสนรายเท่านั้น หากเทียบกับฐานลูกค้าเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบที่มี 10-20 ล้านบาท ทำให้เห็นช่องในการขยายตัวของธุรกิจกองทุนรวม อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าแนวโน้มธุรกิจ กองทุนรวมในปีนี้อัตราการขยายตัวมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารของบลจ.ทั้งระบบคาดว่าจะขยายตัวประมาณ 10% เท่านั้นในปีนี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา มีการขยายตัวกว่า 59% เมื่อเทียบกับปี 2547 โดยปี 2548 บลจ. ทั้งระบบมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 771,150 ล้านบาท
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้อัตราการขยายตัวของกองทุนรวมมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนมีทางเลือกการลงทุน ที่หลากหลาย เพราะดอกเบี้ยเงินฝากเริ่มขยับ ขณะเดียวกันการแข่งขันในธุรกิจกองทุนรวมในปีนี้คาดว่าจะมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะบลจ.ขนาดกลางและเล็กจะเข้ามาเจาะกลุ่มฐานลูกค้าเงินฝากมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทจำเป็นต้อง ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ด้วยการจัดทำกิจกรรมการตลาด โฆษณาและประชาสัมพันธ์ กองทุนมากขึ้น
|