How to survive? คำถามยอดฮิตที่บรรดาบริษัททั้งหลายต่างก็ต้องถามตัวเองในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เช่นนี้ถึงวิถีทางในการ
ที่จะเอาตัวรอดจากแรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะผ่อนเบาลงแต่อย่างใด
ผู้ที่จะตอบปัญหานี้ได้ดีที่สุดคนหนึ่งคือ บริษัทที่ปรึกษา ซึ่งในตอนนี้หลายรายกำลังบ่ายหน้าเข้ามาขายความคิดให้กิจการไทย
ดูเหมือนว่าการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารภายในองค์กรเพื่อให้เหมาะสม
และสอดคล้องกับสถานการณ์ น่าจะเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลที่สุดในตอนนี้สำหรับกิจการที่กำลังมีปัญหาเผชิญหน้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจซบเซา
และผู้ที่ทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุดก็คือบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งในเวลานี้ดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาแห่งการตักตวงผลประโยชน์
เพราะมีลูกค้าที่รอเข้าคิวรับบริการกันชนิดหัวกะไดไม่แห้งทีเดียว โดยเฉพาะลูกค้าในวงการการเงิน
ที่กำลังจะถึงทางตันในการทำธุรกิจ
แม็คคินซีย์ & คอมพานี (McKinsey & Company, Inc.) บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการและการบริหารอเมริกันชั้นนำและเก่าแก่กว่า
70 ปี เป็นแห่งหนึ่งที่เล็งเห็นถึงโอกาสในการทำธุรกิจในประเทศไทย และได้ตัดสินใจเปิดสำนักงานอย่างเป็นทางการขึ้นมา
หลังจากที่เข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทยมายาวนานผ่านทางสำนักงานต่างประเทศ ด้วยการให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าทั้งภาคเอกชน
และภาครัฐ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ลูกค้าสามารถพัฒนาและประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ
อุตสาหกรรมที่บริษัทมุ่งให้บริการแก่ลูกค้าก็ครอบคลุมตั้งแต่การขนส่ง โทรคมนาคม
อิเล็กทรอนิกส์ มีเดีย พลังงาน สุขภาพอนามัย การประกอบชิ้นส่วนและเครื่องจักรกล
ธนาคารและการประกัน รถยนต์ เคมีภัณฑ์ ไปจนถึงสินค้าเพื่อการบริโภคและอุปโภค
แต่สำหรับในไทย แม็คคินซีย์ จะเน้นให้บริการใน 4 อุตสาหกรรมหลักคือ พลังงาน
โทรคมนาคมรวมถึงมีเดีย บริการทางการเงิน ได้แก่ บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์
ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกัน และสินค้าอุปโภคและบริโภค เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
พร้อมๆ ไปกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากตามการเปิดเสรีจนทำให้การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น
การวางตัว อีริค เจ ราเจนดรา ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงิน เป็นผู้จัดการประจำประเทศไทย
เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า แม็คคินซีย์ ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะเข้ามาเจาะตลาดการเงินในไทย
ซึ่งกำลังพัฒนาและก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่อันมีผลต่อการอยู่รอดของบริษัทในขณะนี้
และที่ผ่านมาตลาดสถาบันการเงินนี้ก็ให้การต้อนรับแก่บริษัทที่ปรึกษาอย่างอบอุ่นมาโดยตลอด
เพราะบริษัทเหล่านี้ต่างก็ตระหนักถึงภยันตราย และความยากเข็ญในการที่จะต้องต่อสู้ทางธุรกิจในอนาคตตามกระแสการเปิดเสรีตลาดการเงินของแกตต์
บวกกับสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยทำให้ความยากลำบากเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ทั้งนี้มีสถาบันการเงินหลายแห่งได้ใช้บริการบริษัทที่ปรึกษาในการปรับเปลี่ยนการบริหารและการจัดการองค์กรภายใน
ที่ฮือฮาที่สุดก็เห็นจะเป็นการรีเอ็นจิเนียริ่งของ ธนาคารกสิกรไทย และการศึกษาแนวโน้มของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ของไทยของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยโดยบริษัท
บูซ อัลเลน แอนด์ แฮมิลตัน บริษัทที่ปรึกษาสัญชาติอเมริกันที่เข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทยมานานและค่อนข้างจะแอคทีฟมากในตลาดการเงินของไทย
แต่ยังไม่มีสำนักงานถาวรในไทย เพียงแต่ทำธุรกรรมผ่านสำนักงานต่างประเทศ
อีริค เจ ราเจนดรา เขาผู้นี้มีความรู้และความสามารถทางด้านการเงินเป็นอย่างดีเยี่ยม
รับประกันได้จากดีกรีที่คว้ามหาบัณฑิตทางด้านธุรกิจระหว่างประเทศและการเงินจาก
Fletcher School ของมหาวิทยาลัยทัฟต์ส และมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด (Tufts /Harvard
University) ขณะที่ปริญญาตรีสำเร็จจากมหาวิทยาลัยฝรั่งเศส Brandeis และ Institut
d'Etudes Politiques de Paris ทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองบวกกับประสบการณ์ที่ผ่านงานทางด้านการเงินมาอย่างโชกโชนกว่า
15 ปี
เขาเริ่มต้นการทำงานครั้งแรกที่ธนาคาร Chemical นิวยอร์ก ณ ที่นี่ เขาได้รับหน้าที่เป็นผู้บริหารดูแลธนาคาร
เพื่อการค้าระหว่างประเทศ สินเชื่อเพื่อธุรกิจ การตลาด และตลาดทุนระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมทำงานกับบริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ในตำแหน่งรองประธานกลุ่มวางแผน
รับผิดชอบการพัฒนากลยุทธ์ในภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิก รองประธานธนาคาร Wells
Fargo ดูแลทางด้านสินเชื่อเคหะ และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
ราเจนดรา เริ่มเข้าทำงานที่บริษัทแม็คคินซีย์เมื่อปี 2529 ประจำที่สำนักงานในนิวยอร์ก
เน้นจับลูกค้าธนาคารและสถาบันการเงิน ต่อมาได้ย้ายไปประจำที่กรุงบรัสเซลส์
และลอนดอน แล้วลาออกไปทำงานที่อเมริกัน เอ็กซ์เพรส แล้วจึงกลับเข้ามาทำงานอีกครั้งในปี
2538 และในปี 2540 เขาก็ได้รับมอบหมายให้เข้ามารับภารกิจรุกตลาดเมืองไทยอย่างจริงจัง
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาสามารถพูดภาษาไทยได้ด้วย
"ความท้าทายที่ภาคการบริการการเงินของไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ มีผลเกี่ยวเนื่องมาจากการผ่อนคลายกฎระเบียบของทางราชการที่จะเป็นการสร้างทั้งโอกาสและภัยแก่บริษัที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้การแข่งขันและการเพิ่ม productivity จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นแต่ทำได้ไม่ง่ายนัก
และจะต้องมีการจัดการการบริหารองค์กรที่ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นแบบครอบครัว
รวมถึงการกำหนดวิธีการในการเลืองช่องทางที่ก้าวเดินต่อไปเพื่อให้บริษัทเกิดการเติบโต
บริหารกลยุทธ์เพื่อการเติบโตของบริษัท" ราเจนดรา ให้ทัศนะถึงปัญหาที่กำลังคุกคามภาคอุตสาหกรรมการเงินไทย
สำหรับลูกค้าเป้าหมายของแม็คคินซีย์ นั้นจะเน้นที่ลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่ลงถึงบริษัทขนาดกลาง
เพราะมีความพร้อมในการที่จะปรับเปลี่ยนองค์กรมากกว่าบริษัทขนาดเล็ก ที่เน้นการบริหารแบบครอบครัว
และไม่ค่อยนิยมที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากนัก นอกจากนี้ก็จะเข้าสู่ตลาดของภาครัฐด้วย
ซึ่งจากการบอกกล่าวของ เทรเวอร์ แม็คเมอร์เรย์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ขณะนี้บริษัทได้พยายามที่จะเข้าไปพูดคุยกับหน่วยงานของรัฐมากขึ้น และที่ผ่านมาก็ได้เข้าไปพูดคุยกับบางหน่วยงานบ้างแล้ว
ที่ผ่านมาลูกค้าไทยที่ได้ใช้บริการแม็คคินซีย์ที่พอจะสามารถเปิดเผยชื่อได้ก็คือ
การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย โดยเป็นการเข้าไปศึกษาในการปรับโครงสร้างองค์กรทั้งหมดเพื่อเตรียมสำหรับการแปรรูปในอนาคต
และโครงการหลวง ที่จะเข้าไปศึกษาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอีก 15 ปีข้างหน้าจากการพัฒนาชนบทในภาคเหนือ
เนื่องจากธุรกิจที่ปรึกษาเป็นธุรกิจที่ต้องขายไอเดีย ภูมิปัญญา ดังนั้นการวัดอัตราการเติบโต
และรายได้จึงเป็นเรื่องที่ยากเพราะเกี่ยวกับ intellectual value ซึ่งในส่วนของแม็คคินซีย์
ในปี 1996 มีรายได้รวมทั้งโลกมูลค่า 50,000 ล้านบาท หรือ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
โดยมีลูกค้ารวมทั่วโลกประมาณ 1,000 ราย มีพนักงานที่เป็นที่ปรึกษารวมประมาณ
4,000 คนจากสำนักงานทั้งหมด 70 แห่งใน 39 ประเทศ หากพิจารณายอดงานของแม็คคินซีย์จะพบว่ากิจกรรมส่วนใหญ่ยังกระจุกอยู่ในสหรัฐอเมริกาคิดเป็นสัดส่วนประมาณ
60% ของงานทั้งหมดทั่วโลก ที่เหลือประมาณ 12-15% จะเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในเอเชียแปซิฟิก
โดยในภูมิภาคนี้แม็คคินซีย์มีสำนักงานอยู่ 15 แห่งรวมกรุงเทพฯ มีที่ปรึกษา
450 คน และยังมีแผนที่จะเปิดสำนักงานที่ฟิลิปปินส์และสิงคโปร์เพิ่มอีกในเร็วๆ
นี้
"รายได้ของบริษัทนั้นจะเป็นในลักษณะค่าธรรมเนียม แต่ต้องพิจารณาจากจำนวนที่ปรึกษาในแต่ละโครงการและดูที่มูลค่าที่บริษัทนั้นได้
ดังนั้นรายได้จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับอัตราค่าบริการของที่ปรึกษา
เพราะหากบริษัทมีที่ปรึกษาที่ค่าตัวสูงก็จะทำให้รายได้ของบริษัทโตขึ้น แม้ว่าค่าบริการจะสูงแต่ก็ต้องถือว่าเป็นการซื้อ
value ในระยะยาว" ซึ่งในแต่ละโครงการนั้นจะใช้เวลาในการศึกษาประมาณ
6 เดือน
ในไทย แม็คคินซีย์เริ่มต้นด้วยจำนวนเจ้าหน้าที่ประมาณ 15-20 คน แบ่งออกเป็นทีมวิจัยและข้อมูลและที่ปรึกษา
และในอีก 2-3 ปีข้างหน้ามีแผนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 40-50 คน โดยในเดือนมิถุนายน
ที่ผ่านมาทางบริษัทได้เริ่มต้นรุกตลาดด้วยการนำทีมวิจัยเข้ามาศึกษาอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย
แต่จะเป็นการวิจัยในภาพรวมทั้งภูมิภาค ซึ่งในแต่ละปีบริษัทจะกันเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นงบประมาณในการทำวิจัยประมาณ
10% ของรายได้ด้วย
ปีนี้เห็นทีจะต้องเรียกว่าเป็นปีทองของที่ปรึกษา (Consultant) หลังจากที่เมื่อปีสองปีที่แล้วเป็นปีทองของบรรดา
IB ทั้งหลาย