โบรกเกอร์ แนะ ซื้อหุ้น "ปูนซิเมนต์ไทย" แม้อัตราการขยายตัวปีหน้าค่อนข้างจำกัด เหตุ มีผลตอบแทนในรูปเงินปันผลอยู่ในอัตราที่สูง บล.บัวหลวง ให้ราคาเป้า-หมายที่ 273 บาท ขณะที่ บล.เคจีไอ สวนกระแส ปรับประมาณการกำไรเพิ่ม ขึ้นอีก 5% จากเดิม 3.13 หมื่นล้านบาท เป็น 3.29 หมื่นล้านบาท ราคาเป้าหมายที่ 300 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด ประเมินฐานะการดำเนิน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ว่า ในระยะเวลาอีก 12 เดือนข้างหน้า โอกาสในการขยายตัวของกำไร SCC จะมีค่อนข้างจำกัด อันเป็นผลมาจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่
1. การบริโภคซีเมนต์ที่คาดว่าจะเติบโตในอัตราลดลงจากในปี 2548 สืบเนื่องจากโครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชน ที่คาดว่าจะล่าช้าออกไป
2. ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีอ่อนตัวลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน และประการสุดท้าย อัตราการใช้กำลังการผลิตที่เต็มกำลังการผลิตแล้วในอุตสาหกรรมกระดาษ
อย่างไรก็ตาม บล.บัวหลวง ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองการลงทุนในหุ้น SCC จากเดิมที่ให้ความสำคัญกับอัตราการขยายตัวของบริษัทที่มีอัตราเติบโตสูงมาอย่างต่อเนื่อง เป็นหุ้นที่มีการจ่ายผลตอบแทนในรูปของเงิน ปันผลที่สูง เนื่องจากบริษัทคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 15 บาทต่อปี ซึ่งจะคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.1% เมื่อเทียบกับราคาปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 246 บาท ขณะที่อัตราผลตอบแทนเงินปันผลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2545-2548 อยู่ที่ 0.85%, 1.57%, 2.46% และ 6.15% ตามลำดับ
เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ SCC ในระยะยาว แม้ว่าเรามองว่าแนวโน้มผลกำไรในอีก 12 เดือนข้างหน้าดังกล่าวมาแล้วจะไม่สดใสมากนัก เรายังคงแนะนำ ซื้อจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง โดยมีราคาเป้าหมายที่ 273 บาท
ขณะเดียวกับ SCC ยังคงจะได้รับผลดีจากการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์มูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้าน บาทที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แม้ว่าอาจจะต้องล่าช้าออกไปบ้าง จากการที่รัฐบาลได้ประกาศเปิดกว้างในเรื่องข้อ เสนอในการลงทุน ซึ่งจะทำให้ขั้นตอน กระบวนการประเมินต่างๆ อาจจะต้อง ใช้เวลานาน ทั้งนี้เรามองว่าการก่อสร้าง โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ น่าจะเริ่มขึ้นได้หลังจากไตรมาส 1 ปี 2550 ดังนั้นเราจึงปรับประมาณการการบริโภคซีเมนต์ในปี 2549 ลงเหลือ 5% จากเดิม 10%
พร้อมกันนี้ บล.บัวหลวง ประเมินว่า ปริมาณอุปทานโอลิฟินของ โลกจะโตขึ้น 5% ในขณะที่ฝั่งอุปสงค์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 4% ทำให้เราเชื่อ ว่าทั้งราคาปิโตรเคมีและส่วนต่างราคา จะเริ่มชะลอตัวลง โดยเราคาดว่าในปี 2549 ส่วนต่างราคาจะลดลง 9% โดย HDPE-naphtha จะอยู่ที่ 480 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และ PP-naphtha จะอยู่ที่ 530 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
ทั้งนี้ UPPC และ TCP จะเริ่มใช้ boiler ตัวใหม่ในไตรมาสแรก และในไตรมาส 3 ปี 2549 นี้ ซึ่งจะ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี (คิดเป็นสัดส่วน 5% ของ EBITDA) อย่างไรก็ดี ธุรกิจกระดาษ จะมีการเติบโตอย่างเป็นสาระ ในปี 2551 หลังจากที่กำลังการผลิตใหม่ ใน ธุรกิจกระดาษอุตสาหกรรมและกระดาษพิมพ์เขียนมีการเริ่มการผลิตอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม บล.บัวหลวง ยังคงประมาณการกำไรจากการดำเนินงานของปี 2548 ไว้ที่ 33,200 ล้านบาท แต่ได้ปรับลดกำไรของปี 2549 ลง 7% เนื่องจากเหตุผล 3 ประการหลัก คือ 1. คาดว่าส่วนต่างราคาเคมีคัลจะลดลง มาประมาณ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ในปี 2549 2. การบริโภคซีเมนต์จะลดลงเหลือ 5% จากเดิม 10% ในปี 2549 และ 3. บริษัทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการกู้เพื่อขยายกิจการและอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้ม สูงขึ้น
ด้านบล.เคจีไอ ได้ให้ความเห็นที่สอดคล้องกัน โดยแนะนำให้ซื้อ SCC จากราคาเป้าหมายปี 2549 อยู่ที่ 300 บาท ทำให้ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายถึง 21% และมั่นใจว่าธุรกิจซีเมนต์และกระดาษน่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในปีหน้า ทั้งนี้ SCC มีผล ประกอบการที่อิงอยู่กับธุรกิจปิโตรเคมี ค่อนข้างสูง โดยปีหน้าน่าจะมีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่แคบลง ดังนั้นจึงอาจจะยังถ่วงราคาหุ้นอยู่ให้ราคาปรับตัวได้ไม่มาก
ขณะเดียวกันจากการพบปะกับผู้บริหารทำให้เราเชื่อว่ากำไรในไตรมาส 4 ของ SCC จะดีกว่าที่ประมาณการเดิมที่คาดการณ์ไว้ โดยหลักๆ เป็นผล มาจากธุรกิจปิโตรเคมี เราจึงมีการปรับประมาณการปี 2548 ขึ้นอีก 5% จาก 31.3 พันล้านบาท เป็น 32.9 พันล้านบาท ทั้งนี้ กำไรในปี 2549 มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจาก ที่ยอดขายที่น่าจะสูงกว่าที่คาดไว้เดิมจะตัดกับอัตรากำไรขั้นต้นที่น่าจะน้อยกว่าเดิม
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งผลการดำเนินงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 180,049.98 ล้านบาท กำไรสุทธิ 27,133.72 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 22.61 บาท ขณะที่ 31 ธันวาคม 2547 รายได้รวมอยู่ที่ 204,372.29 ล้านบาท กำไรสุทธิ 36,483.44 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 30.40 บาท
|