Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน10 มกราคม 2549
แนะไทยรีบสร้างจุดเด่น ดูดเงินนอกลงทุนหุ้นไทย             
 


   
search resources

ก้องเกียรติ โอภาสวงการ
Investment




"ก้องเกียรติ" เผยเม็ดเงินไหลเข้าเอเชียหลังสหรัฐฯ หยุดขึ้นดอกเบี้ย ไทยควรสร้างจุดเด่นดึงเม็ดเงินต่างประเทศ เชื่อเม็ดเงินต่างประเทศยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่ตรุษจีนยังคงซื้อหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยใหม่หนุน "ศุภวุฒิ" ค่ายภัทรฯ แนะพีอีไทยแตะ 14 เท่าได้ รัฐต้องผลักดันให้เกิดการลงทุน ชี้เหตุการลงทุนไม่คืบทั้งที่รัฐมีเสียงข้างมากยังไม่สร้างความมั่นใจประชาชนว่าจะเป็นประโยชน์เพื่อส่วนรวม ด้าน "กิตติรัตน์"ชี้หุ้นไทยสัปดาห์แรกดีเกินคาด ได้อานิสงส์เศรษฐกิจเอเชีย ขยายตัวดี เงินทุนไหลเข้า

วานนี้ (9 ม.ค.) ในงาน "มหกรรมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ 2549" จัดสัมมนาเรื่อง "เจาะลึกลงทุนตลาดหุ้นปี 2549"ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซียพลัส หรือ ASP เปิดเผยว่า จากการที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาจะถึงจุดอิ่มตัวแล้วทำให้จะมีการเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่มาก ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีการลดการถือสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินลงทุนหันเข้าในประเทศแถบเอเชีย ซึ่งจะทำให้ค่าเงินในแถบเอเชียมีการแข็งค่า ดังนั้น ซึ่งแต่ละประเทศก็จะต้องมีการสร้างความน่าสนใจใหม่ๆและสีสันต่างๆ ให้นักลงทุนต่างประเทศ เข้ามาลงทุน

ทั้งนี้ ประเทศไทยควรที่จะมีการสร้างจุดเด่น และมีการสานต่อนโยบายให้จบ เช่น การดึงบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียน เช่น กฟผ เบียร์ช้าง แต่เมื่อเกิดปัญหาก็ทำให้ความน่าสนใจหายไป ซึ่งขณะนี้นักลงทุนก็รอเรื่องความชัดเจนของเมกะโปรเจกต์

สำหรับประเทศอินเดีย ได้มีการตั้งมาตรการ 4 ข้อ เพื่อที่จะดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุน คือ 1 การดึงเม็ดเงินจากบริษัทขนาดใหญ่ และประชาชนที่ไปลงทุนในประเทศอื่นเข้ามา 2. การดึงเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) 3. การลงทุน ในตลาดหุ้น 4. การลงทุนในกิจการนอกตลาด (แวนเจอร์แคป)

ประเทศไทยเองได้มีการสร้างจุดเด่นเหมือนกับประเทศคู่แข่งที่จะแย่งเม็ดเงินลงทุนในประเทศหรือยัง ซึ่งตลาดหุ้นไทย เป็นตลาดหุ้น ที่มี P/E ที่ถูกว่าเพื่อนบ้านซึ่ง ปตท. ที่เป็นหุ้นมีมาร์เกตแคปอันดับ 1 ของตลาดหุ้นไทย มีค่า P/E เพียง 7.5 เท่า

นายก้องเกียรติกล่าวว่า จากที่สัปดาห์แรก ปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีการซื้อหุ้นสุทธิเกือบ 40,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่เม็ดเงินของต่างประเทศบริหารอยู่ ซึ่งหากมีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียนก็จะสามารถดึงเม็ดเงินต่างประเทศได้มากกว่านี้ ซึ่งเม็ดเงินที่เข้ามาน่าจะเป็นการลงทุนระยะยาวจากที่หุ้นขนาดใหญ่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่านักลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง แต่ในช่วงตรุษจีนก็คงจะต้องมีการพิจารณาลงทุน อีกครั้ง ซึ่งหากนักลงทุนต่างประเทศจะมีการซื้อหุ้นต่อก็จะต้องมีปัจจัยดีเข้ามากระตุ้น

สำหรับการเปิดเสรีทางการเงินกับสหรัฐอเมริกานั้น ภาคการเงินของไทยนั้นเสียเปรียบต่างประเทศ เพราะธนาคารต่างประเทศจะมีการชำนาญการปล่อยสินเชื่อรายย่อย และบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งธนาคารไทยชำนาญในการปล่อยสินเชื่อรายย่อย ส่วนเรื่องธุรกิจหลักทรัพย์ นั้น บล.ไทยยังไม่มีการกระจายรายได้ โดยมีรายได้หลักจากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ถึง 84% และยังมีปัญหาขัดแย้งต่างๆ เช่น กรณีมาร์เกตติ้ง ดังนั้น ไทยจะไปแข่งขันกับต่างประเทศได้อย่างไร

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA กล่าวว่า บริษัทคาดเศรษฐกิจอเมริกา จะเติบโต 2% ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างมองว่าจะโต 3.4% เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจอเมริกา จะมีการชะลอตัว จากที่อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาจะถึงจุดสูงสุดในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งถ้าดอกเบี้ยสหรัฐฯหยุดขึ้นก็จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในเอเชียและไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งไทยถือว่าได้เปรียบกว่าประเทศเพื่อนบ้าน จากเรื่องอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ การที่จะให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโต ที่ดีจะต้องมีการกระตุ้นการลงทุนให้มากขึ้น จากประเทศไทยมีการลงทุน 25-27% ของ GDP ซึ่งการลงทุนที่เหมาะสมควรที่จะอยู่ที่ 32% ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้มีการลงทุนมากขึ้นนั้นรัฐบาลจะต้องมีการกระตุ้นซึ่งหากรัฐบาลไม่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแล้วภาคเอกชนก็จะไม่มีการลงทุน และการที่เอกชนจะมีการลงทุนก็จะต้องได้รับความสนับสนุน ทั้งในเรื่องไฟฟ้า น้ำประปา ซึ่งการเข้าจดทะเบียนของ กฟผ.สะดุด ก็เป็น การสะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของการลงทุนเอกชน

ทั้งนี้ การที่รัฐบาลซึ่งมีเสียงข้างมากแต่ไม่สามารถผลักดันการลงทุนซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศไม่ได้ เพราะคนทั่วไปมองว่าการลงทุนดังกล่าวไม่ได้เป็นประโยชน์ต่างประเทศแต่เป็นประโยชน์เฉพาะคนบางกลุ่ม ซึ่งรัฐบาลจะต้องทำให้ความรู้สึกดังกล่าวของประชาชนหายไปได้หรือไม่ หากทำไม่ได้ก็จะทำให้การผลักดันการลงทุนเกิดขึ้นไม่ได้ แต่หากรัฐบาลทำได้ก็จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีค่า P/E ที่ 14 เท่า
นายสมบัติ นราวุฒิชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ สินเอเซีย จำกัดกล่าวว่า หลังจากช่วงต้นปีที่ผ่านมามีนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อสุทธิรวมแล้วกว่า 3.8 หมื่นล้านบาท ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการเป้าหมายดัชนีปี 2549 ใหม่ โดยคาดว่าในสิ้นปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ที่ 792 จุด บนสมมติฐานว่า P/E อยู่ที่ระดับ 10.1 เท่า จากก่อนหน้าที่ประมาณการไว้ที่ 745 จุด ในกรณีที่ กฟผ.และบริษัทไทยเบฟเวอเรจสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นได้

ในกรณีที่ บมจ. กฟผ.และ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ บริษัทใดบริษัทหนึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์คาดว่าดัชนีสิ้นปีจะอยู่ที่ 769 จุด แต่ถ้าทั้งสองตัวไม่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้เลยดัชนีฯจะอยู่ที่ 745 จุด แต่ในกรณีที่สุทธิทั้งปีนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 2-3 หมื่นล้านบาท และบริษัทไทยเบฟเวอเรจ และบริษัท กฟผ. ไม่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยดัชนีสิ้นปีจะอยู่ที่ 706 จุด ซึ่งจะมีค่าพี/อี เรโช ประมาณ 9 เท่า

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวังแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ เพราะจากสถิติ พบว่าหากนักลงทุนต่างประเทศหยุดซื้อสุทธิ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะปรับตัวลดลงประมาณครึ่งหนึ่งของที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา ซึ่งตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2549 จนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิประมาณ 60,000 ล้านบาท ดัชนีตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 88 จุด

ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน คาดว่าจะเติบโต 4% โดยต้องติดตามภาวะการเมืองในประเทศ การเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) และปัญหากรณีการกระจายหุ้น กฟผ. รวมทั้งเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ไทยได้อานิสงส์ ศก.เอเชียดี

ส่วนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์แรกที่ปรับสูงขึ้น แรงเหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังมีค่าพี/อี เรโชที่อยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียน ยังมีการเติบโตและมีเสถียรภาพที่ดี ทำให้นักลงทุนต่างประเทศทบทวนและกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นเร็วกว่าที่คาดหมาย โดยไม่รอการประกาศผลประกอบการ ไตรมาส 4 ปี 2548 ที่จะประกาศภายในเดือนกุมภาพันธ์ เพราะหากเข้ามาซื้อในจังหวะเวลาดังกล่าวอาจช้าเกินไป ประกอบกับเศรษฐกิจเอเชียมีการขยายตัวดีมาก ซึ่งไทยก็ได้รับอานิสงส์นี้ไปด้วย

ด้านมาร์เกตแคปของตลาดหุ้นในปี 2549 นี้ มีโอกาสจะขึ้นแตะระดับ 6.6 ล้านล้านบาทได้ หากค่า P/E ของตลาดอยู่ที่ 12 เท่า โดยคาดว่าในปี 2549 กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตประมาณ 7-10% จากปีก่อน หรือมีกำไรรวม 5.4-5.5 แสนล้านบาท จากปี 2548 ที่คาดว่ากำไรของ บริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่ 5 แสนล้านบาท และคาดว่าในระยะ 5 ปีข้างหน้ากำไรของบริษัทจดทะเบียนน่าจะขยายตัวถึง 40%

ทั้งนี้สาเหตุที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตต่อเนื่องเป็นเพราะความสามารถในการ ทำกำไรของผู้ประกอบการมีความพร้อมและมีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจของ ไทยยังมีแนวโน้มแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

สถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น น่าจะมา จากภาวะเศรษฐกิจของไทยเริ่มมีเสถียรภาพและมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้มองว่าในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้า ค่าเงินบาทก็มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการเกี่ยวกับธุรกิจส่งออก ดังนั้น จึงอยากให้ผู้ประกอบการธุรกิจดังกล่าวเร่งพัฒนาระบบการทำงานเพื่อรองรับการแข่งขัน กับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในต่างประเทศ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us