ในการแก้วิกฤตของบริษัท กลยุทธ์ที่ธวัช พลังเทพินทร์ นำมาใช้คือ การเปิดอกพูดกับพนักงานอย่างตรงไปตรงมา
ที่ตึกมอนเทอเรย์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เมื่อต้นเดือนมิถุนายน
ธวัชบอกพนักงานว่า ไม่มีเงินสำหรับให้โบนัส และปรับเงินเดือนตามที่ได้สัญญาไว้
ด้านหนึ่งพนักงานก็เข้าใจในความยากลำบากของเขา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นเหตุให้เกิดข่าวลือไปทั่วว่า
คู่แข่งมีการลดพนักงาน 30% และลดเงินเดือน 5% ต่อไปนี้ คือคำบอกเล่าของธวัชในระดับเฟรมต่อเฟรม
วันนั้น ผมต้องการให้ทุกคนได้เห็นภาพรวมของบริษัท รวมทั้งสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
แล้วเราก็แชร์ไอเดียร่วมกัน ผมพบทุกคนนะ 700 กว่าคน ส่วนการแบ่งกลุ่ม เราแบ่งออกเป็น
4 กลุ่ม ต้องใช้เวลาพูดคุย 4 ครั้ง
เริ่มประชุมกลุ่มแรก คือกลุ่มผู้จัดการผู้ช่วยผู้จัดการ ผมตั้งเป้าหมายข้อที่
1 คือเรื่องความเชื่อมั่นและศรัทธา ผมถามก่อนเลยว่า พวกเราทุกคนเชื่อมั่นและศรัทธาในสินค้าในสิ่งที่บริษัททำอยู่หรือไม่?
สิ่งที่ผมได้รับคือ ทุกคนบอกว่ายังเชื่อมั่น
อันดับที่ 2 ผมก็บอกว่า ในภาวะที่ข้างนอกเกิดวิกฤตด้านเศรษฐกิจขึ้น เรามีความร่วมมือร่วมใจกันแค่ไหน?
ผมขอร้องให้พวกเราร่วมแรงร่วมใจกัน และเป็นไปได้ไหมที่เราจะรักษาชีวิต 700
กว่าคนไว้ให้ได้ เราอยู่ด้วยกัน สู้ด้วยกัน เราต้องพยายามหลีกเลี่ยงนโยบาย
LAY OFF ทำไงถึงจะสู้ได้ คือลดค่าใช้จ่าย ร่วมแรงร่วมใจกันทุกเรื่อง
ผมได้ FEED BACK ทันที ซึ่งชื่นใจมาก คืออะไรรู้ไหม หนึ่งในพนักงานในห้องนั้นเสนอขึ้นมาว่า
ขอให้คู่แข่งลดเงินเดือนคนละ 5% มันก็เกิดไอเดียแตกฉานออกไปใหญ่โต ผมถึงบอกว่า
นี่เป็นมิติที่ดีมากเลย คนเขารู้อย่างนี้ เขาจะชื่นชมแค่ไหน พนักงานคู่แข่งเสียสละผลประโยชน์ของตนเองก่อนใครเลย
ผมมีความปิติจริงๆ นะ
ก็เลยร่วมแชร์ไอเดียกันว่า พนักงานที่มีรายได้ต่ำกว่าหมื่นบาท เขาเดือนร้อน
ทุกบาททุกสตางค์ ทุกเม็ดเงินของเขามีค่ามากต่อครอบครัว ชีวิตของพวกเราต้องมีการเอื้ออาทรต่อกัน
นี่เป็นมติที่แสดงถึงวัฒนธรรมองค์กร
พวกเราคุยกัน เกิดประชามติโดยโหวตเสียงกัน แต่ผมก็ยังไม่ประกาศใช้นะ มันเป็นเพียงการหารือเท่านั้น
เรายังไม่มีการดำเนินการอะไรทั้งสิ้น
ผมได้นำเอาผลสรุปในวันนั้นไปพูดกับกลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ 3 และกลุ่มที่ 4
เพื่อแชร์ไอเดียร่วมกัน เขาก็ออกไอเดียเยอะแยะ พนักงาน 700 กว่าคน เราคุยทุกคน
ผมบอกพวกเขาตรงๆ ในตลาดเม็ดเงินไม่มีเลย แห้งขอด และเป็นกันทั้งประเทศเลยนะ
เหมือนกับว่า เรือเราจะแข็งแรงอย่างไร แต่ก็ขาดน้ำมัน เพราะข้างนอกน้ำมันมันแห้งขอด
เราต้องช่วยกันประหยัดน้ำมัน เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เราหามาได้ เราจะต้องนำมาใช้กับสิ่งที่เป็นประโยชน์
ผมก็บอกเขาตรงๆ ว่า ผมไม่สามารถที่จะจ่ายโบนัสและปรับเงินเดือนได้ในปีนี้
เพราะเม็ดเงินไม่มี ผมรู้สำนึกอยู่ในใจ พนักงานหลายคนอาจจะมีแพลนนิ่งจึงตั้งความหวังไว้ที่เงินเดือน
โบนัส แต่พวกเขาก็เข้าใจผม เขาบอกว่า ไม่เป็นไร
เมื่อพวกเขามีสปิริตกันอย่างนี้ จะไม่ให้ผมรักพนักงานของผมได้อย่างไร?