แม้ว่าบรรดาผู้ประกอบการที่มีเงินทุนหนาๆ ทั้งหลายจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลกันมาก
เพราะเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะความเจ็บป่วยไม่สามารถห้ามกันได้
ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้มีหน้าใหม่ๆ เปิดร.พ.กันอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งทางหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบโดยตรงคือกองประกอบโรคศิลป์
สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข ต้องเหนื่อยหนักขึ้นไปอีกในการเข้าตรวจตราและสอดส่องให้สถานพยาบาลนั้นมีความเหมาะสมต่อการดูแลผู้ป่วยมากที่สุด
ปัจจุบันกองกำกับโรคศิลป์อยู่ภายใต้การดูแลของ น.พ.ทรงยศ ชัยชนะ ในฐานะผู้อำนวยการ
"หน้าที่หลักคือออกใบอนุญาต ดูแลและกำหนดมาตรฐานซึ่งเรามี พ.ร.บ.สถานพยาบาล
ปี 2504 เป็นมาตรฐานในการดูแลข้อกำหนดในพ.ร.บ.นี้จะเน้นเพียงสิ่งแวดล้อม
ความสะอาด และกำหนดอย่างกว้างๆ ว่าเหมาะสำหรับการดูแล รักษาผู้ป่วยหรือไม่
เพื่อป้องกันให้ผู้ป่วยได้รับการบริการในสถานที่ที่เหมาะสมและถูกต้องตามข้อกำหนด
หน่วยงานนี้จะมีหน้าที่ในการออกพื้นที่ไปตรวจตามร.พ.ต่างๆ ด้วย แต่เนื่องจากในปัจจุบันจำนวนร.พ.มีเป็นจำนวนมาก
ขณะที่เจ้าหน้าที่ของทางราชการมีไม่เพียงพอ จึงทำให้ในระยะหลังนี้การออกตรวจสถานพยาบาลเริ่มซาน้อยลง
และไม่ทั่วถึง ซึ่งในเรื่องนี้ ทางกองประกอบโรคศิลป์เองก็ตระหนักดีจึงได้มีการแก้ไขด้วยการกระจายอำนาจออกไปในส่วนที่เป็นพื้นที่ต่างจังหวัด
"เนื่องจากต้องไปตรวจโรงพยาบาลแห่งใหม่อยู่เรื่อยๆ เราได้แก้ไขด้วยวิธีการกระจายอำนาจออกไป
เช่น ในต่างจังหวัดก็ให้สาธารณสุขจังหวัดรับผิดชอบ ซึ่งจะครอบคลุมมากขึ้น"
โดยทีมงานที่จะออกไปตรวจนั้นจะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย คือ แพทย์ เภสัชกรและพยาบาล
โดยแพทย์จะเข้าไปดูระบบวิธีการรักษา เภสัชกรจะดูทางด้านข้อกฎหมาย ด้านข้อมูลต่างๆ
ส่วนพยาบาลจะเข้าไปตรวจตามจุดต่างๆ ของโรงพยาบาล ที่เป็นเช่นนั้น น.พ.ทรงยศได้ให้เหตุผลว่า
"เพราะพยาบาลถือว่าเป็นผู้ที่ต้องดูแลคนไข้และประจำอยู่ในโรงพยาบาลตลอด
24 ชั่วโมง ส่วนลักษณะการเข้าไปตรวจนั้นเราจะดูในแง่พื้นฐานเท่านั้น เพราะในการปฏิบัติงานจริงๆ
ต้องขึ้นอยู่กับคนที่ทำงานด้วย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ไปดู"
ปัจจุบัน ทางกองประกอบโรคศิลป์ ได้เริ่มที่จะเอาจริงเอาจังมากขึ้น โดยได้มีการจัดการอบรมเจ้าหน้าที่ภาคสนาม
เพื่ออกตรวจตามร.พ.ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 10 ทีมๆ ละ 3 คน ซึ่งก่อนที่จะออกตรวจนั้นจะต้องมีการแจ้งให้ร.พ.นั้นๆ
รับทราบก่อน
อย่างไรก็ตาม ตามสถิติเท่าที่ผ่านมา พบว่าการกระทำผิดของสถานพยาบาลตามพ.ร.บ.นั้น
มีน้อยมาก ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกรอบของข้อกฎหมาย แม้ว่าในบางแห่งยังมีจำนวนบุคลากรไม่ได้สัดส่วนกับจำนวนเตียง
แต่ก็ได้รับการยืดหยุ่น เพราะทางกองฯตระหนักดีถึงเรื่องการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์
ซึ่งในเรื่องนี้ทางภาคเอกชนก็พยายามแก้ไขปัญหานี้ด้วยการสร้างบุคลากรขึ้นมารองรับอย่างเช่นพญาไท
ก็ได้ใช้มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นฐานในการผลิตบุคลากร ขณะที่ร.พ.อีกหลายแห่งก็มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมพนักงานขึ้นมาภายใน
และมีการส่งพนักงานไปดูงานและศึกษาต่อต่างประเทศ
"เมื่อเป็นเช่นนี้ แนวทางการแก้ปัญหาของเราคือ ต้องเข้าไปดูที่ระบบของแต่ละโรงพยาบาลประกอบด้วย
เช่น ความปลอดภัยและความสามารถของเขาว่า เมื่อผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจะหาบุคลากรเพิ่มได้หรือไม่
เพราะข้อกฎหมายบางอย่างเราไม่มี เช่น ห้องฉุกเฉินเราไม่มีข้อกำหนดว่าต้องมีบุคลากรประจำกี่คน
ดังนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและตามสภาพของแต่ละโรงพยาบาล" น.พ.ทรงยศ
เล่า
สำหรับมาตรฐานของราคา น.พ.ทรงยศ กล่าวว่า มาตรฐานการควบคุมด้านราคายังไม่มีกฎหมายที่แน่ชัด
เพียงแต่ได้เข้าไปให้คำแนะนำเท่านั้น เพราะถือว่าเป็นเรื่องจรรยาบรรณ
"เราเข้าไปในลักษณะที่ว่าเขาเก็บค่ารักษาเหมาะกับโรคนั้นเพียงไร รักษาดีและปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน
แต่ที่ผ่านมาการร้องเรียนเรื่องราคามีน้อยมาก"
ในเรื่องของบทลงโทษผู้กระทำผิด จะเป็นการลงโทษทางวิชาชีพ คือพักใบอนุญาต
และลงโทษทางอาญาและทางแพ่ง แต่การลงโทษโดยยึดใบอนุญาตคืนนั้น ปัจจุบันไทยยังยืดหยุ่นกว่าต่างประเทศ
เพราะบุคลกรยังขาดแคลน
"เอกชนในบ้านเรามีสิทธ์ตามรัฐธรรมนูญ การที่จะทำอะไรกับเอกชนเราต้องมีอำนาจ
แต่ขณะนี้เราไม่มีเพราะไม่มีกฎหมาย จะไปทำอะไรเขาได้"
ความล้าสมัยของกฎหมาย และการไม่มีอำนาจของหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง ได้กลายเป็นการลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานในการรักษาโรคของผู้บริโภค
ซึ่งในเรื่องนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขก็ได้เล็งเห็นและได้มีการผลักดันให้มีการแก้ไขพ.ร.บ.สถานพยาบาล
ปี 2504 ให้เหมาะสมกับเหตุการณ์และให้ความคุ้มครองแก่ผู้ใช้บริการมากขึ้น
ล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.สถานพยาบาล ที่แก้ไขปรับปรุงใหม่แล้ว
โดยพ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้ เนื้อหาสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ประกอบกิจการและดำเนินกิจการสถานพยาบาล การเลิก
การย้าย การเปิดสถานพยาบาล การเพิกถอนในอนุญาตและการโฆษณากิจการของสถานพยาบาล
2. กำหนดให้มีคณะกรรมการสถานพยาบาลประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐและเอกชน เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและคำแนะนำแก่รัฐมนตรี
หรือผู้อนุญาตในเรื่องการออกกฎกระทรวง การอนุญาต การปิดและเพิกถอนใบอนุญาต
การพัฒนาคุณภาพในสถานบริการ การควบคุมหรือการพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการดำเนินการสถานพยาบาล
3. กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการสถานพยาบาล
4. กำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการควบคุมดูแลสถานพยาบาล
5. กำหนดเพิ่มโทษผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามพระราชบัญญัตินี้ให้ครอบคลุมและเหมาะสมยิ่งขึ้น
6. ปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตประกอบกิจการและดำเนินกิจการการต่ออายุใบอนุญาต
รวมทั้งค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการสถานพยาบาลให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
"กฎหมายใหม่นี้ค่อนข้างดี เราจะให้อำนาจกับกรรมการในการออกประกาศข้อกำหนดซึ่งประกาศข้อกำหนดไม่ต้องแก้กฎหมาย
ดังนั้นเราสามารถออกได้ทันทีและทันสมัยได้ตลอดเวลา แต่ว่าตัวแม่ต้องออกมาก่อน"
น.พ.ทรงยศ กล่าว
ขณะนี้ ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว และอยู่ในระหว่างการนำเข้าพิจารณาในรัฐสภา
เพื่อลงมติประกาศออกมาเป็นกฎหมาย ก็ได้แต่หวังว่าพ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้จะออกมาใช้ได้ในเวลาอันใกล้นี้
เพราะนี่คืออาวุธสำคัญในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน
และสามารถควบคุมจรรยาบรรณของสถานพยาบาลได้อีกทางหนึ่งด้วย ก็ขอฝากความหวังไว้ที่รัฐบาลชุดนี้อย่าให้