ปี 48 L.P.N. โกยยอดขายกว่า 7,000 ล้านบาท โตกว่า 60% มีรายได้รวม 3,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% ยังครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดฯด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 31% เผยปี 49 ตั้งเป้าเปิดตัว 5 โครงการ มูลค่ากว่า 8,500 ล้านบาท เตรียมผุดคอนโดฯ 5 แสนบาท/ยูนิต กว่า 3,000 ยูนิตในครึ่งปีหลัง ระบุภายใน 2 ปี ยอดขายทะลุ 10,000 ล้านบาท
นายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L.P.N. กล่าวถึงผลประกอบการปี 2548 ว่า บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่สูงเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยสามารถสร้างยอดขายได้ 4,100 ยูนิต มูลค่า 7,000 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนกว่า 60% และมีรายได้รวมประมาณ 3,600 ล้านบาท สูงกว่าปี 2547 ซึ่งมีรายได้รวม 2,500 ล้านบาท เกือบ 50%
ทั้งนี้ รายได้รวมของบริษัทที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นผลมาจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพักอาศัยใน 3 โครงการ รวมประมาณ 2,281 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ากว่า 3,400 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ สามารถส่งมอบห้องชุดให้แก่ลูกค้าได้ตามเป้าหมายในทุกโครงการและจากจำนวนคอนโด-มิเนียมที่คาดว่าจะมีการจดทะเบียน ณ สิ้นปี 2548 ประมาณ 11,000 ยูนิต ส่งผลให้ L.P.N มีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจคอนโดมิเนียม 31% หรือประมาณ 3,420 ยูนิต
"การที่ L.P.N. ยังสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดคอนโดมิเนียมได้นั้นเกิดจากการแสวงหาตลาดใหม่ๆ (Market Space) ที่แม่นยำอยู่ตลอดเวลา โดยเป็นตลาดที่มีการแข่งขันต่ำ แต่มีความต้องการสูง (Blue Ocean) ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่เราดำเนินงานมาตลอดตั้งแต่ช่วงวิกฤต เศรษฐกิจ ทำให้ LPN เป็นผู้นำในการสร้างตลาดใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น โครงการลุมพินี เพลส นราธิวาส-เจ้าพระยา โครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ห่างจากถนนสีลมเพียง 4.5 กม. ด้วยราคาขายเพียง 1.5 ล้านเศษ ในขณะที่โครงการอื่นๆ มีราคาขายมากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งถือเป็น ตัวอย่างของการพัฒนาโครงการ ตามแนวคิดข้างต้น"นายทิฆัมพรกล่าว
สำหรับแผนการพัฒนาในครึ่งปีแรกของปี 2549 บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวคอนโดมิเนียม จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1) ลุมพินี เพลส พหล-สะพานควาย อาคารชุดพักอาศัยสูง 28 ชั้น จำนวน 2 อาคาร บนถนนประดิพัทธิ์ จำนวนประมาณ 1,100 ยูนิต มูลค่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลในวันที่ 20-22 มกราคมนี้ 2) ลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า เฟส 2 จำนวน 600 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท และ 3) ลุมพินี เพลส ท่าพระ จำนวน 1,200 ยูนิต มูลค่าประมาณ 2,400 ล้านบาท
นอกจากนี้ จะเปิดตัวอีก 2 โครงการในช่วงครึ่งปีหลัง โดยโครงการที่ 4 จะเป็นการพัฒนาโครงการเจาะกลุ่มลูกค้าในระดับประมาณ 5 แสนบาท/ยูนิต ซึ่งเป็นการพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าระดับ C+ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเลือกที่ดินในการพัฒนา คาดว่าภายในครึ่งปีแรก จะสามารถซื้อที่ดินได้ ส่วนแบรนด์ ที่จะนำมาใช้กับสินค้านี้อยู่ระหว่างการเลือก ขณะนี้จะใช้ชื่อลุมพินี เซ็นเตอร์ ไปก่อน มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท ประมาณ 3,000 ยูนิต ขนาดที่ดินประมาณ 10 ไร่ อย่างไรก็ตามการพัฒนาคอนโดฯระดับนี้กำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ประมาณ 30% โดยในช่วงแรกอาจลดราคาลงมาเพื่อทำตลาด
อย่างไรก็ตาม การเลือกที่ดินในการพัฒนา คอนโดฯราคา 5 แสนบาท จะอยู่ในแนวรถไฟฟ้า และทางโครงการสามารถบริการรถขนส่งได้ รวมถึงการพิจารณาอัตราส่วนการใช้ประโยชน์ในที่ดิน (FAR) เป็นตัวประกอบ ซึ่งหาก FAR ต่ำก็จะสามารถซื้อที่ดินได้ในราคาถูก โดยหลักของการพัฒนาโครงการระดับนี้ต้นทุนของราคาที่ดินไม่ควรเกิน 50,000 บาท/ตร.ว. โดยที่ดินที่สามารถ นำมาพัฒนาได้ อาทิ ในซอยอ่อนนุช, ห้วยขวาง ส่วนโครงการที่ 5 ได้แก่ ลุมพินี เพลส มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท จำนวน 600 ยูนิต
สำหรับงบลงทุนในการซื้อที่ดินในปี 2549 มีจำนวน 1,500 ล้านบาท คาดว่าในครึ่งปีแรกจะใช้งบซื้อที่ดินประมาณ 700-800 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2548 บริษัทตั้งงบซื้อที่ดิน 1,000 ล้านบาท แต่ใช้ไปเพียง 500 ล้านบาท จึงได้นำงบในส่วนดังกล่าวมาใช้ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องแผนรับรู้รายได้ จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในปี 2548-2550 โดยในปี 2548 จำนวน 3,400 ล้านบาท ปี 2549 จำนวน 4,510 ล้านบาท ส่วนในปี 2550 คาดว่าจะมียอด รับรู้จากการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 6,030 ล้านบาท
"โอกาสที่จะทำเป้ายอดขายให้ได้ในที่ระดับ 10,000 ล้านบาท/ปี นั้นอยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้ เนื่องจากในปัจจุบันบริษัทก็สามารถสร้างยอดขายในระดับใกล้เคียงคือ 7,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งในอีกไม่เกิน 2 ปี เชื่อว่าบริษัทจะสามารถทำได้" นายทิฆัมพรกล่าว
นอกจากใช้กลยุทธ์หลัก Blue Ocean แล้ว ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่
1. กลยุทธ์ทางการตลาด ได้แก่ การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน (Focus) ที่มุ่งพัฒนาคอนโดฯเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในระดับกลาง-กลางล่าง ครอบครัวใหม่ หรือผู้ที่ต้องการบ้านหลังที่สองใกล้ที่ทำงานหรือสถานศึกษา ในราคาขายที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท การบริหารต้นทุนอย่าง มีประสิทธิภาพสูงสุด (Cost Leadership) ที่ทำให้บริษัทฯ สามารถกำหนดราคาขายที่สอดรับกับความสามารถในการผ่อนชำระในอนาคตของลูกค้า และการสร้างความแตกต่าง (Differentiation) ทั้งทางในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่เป็น เอกลักษณ์เฉพาะในรูปแบบของ LPN Design และบริการทั้งก่อนและหลังการขาย โดยเฉพาะการบริหารอาคารชุด ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของบริษัทตลอดมา
2. กลยุทธ์ด้านการพัฒนาโครงการ ได้แก่ การพัฒนาคอนโดมิเนียมในรูปแบบชุมชนเมืองขนาดย่อม (Small Size Township) ภายใต้คอนเซ็ปต์ LPN X-Place เพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการรอบด้านของการใช้ชีวิตในเมือง โดยมีโครงการลุมพินี วิลล์ ศูนย์วัฒนธรรมเป็นโครงการนำร่อง ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 80% และการกระจายการพัฒนาโครงการสู่ทำเลใหม่ (Location Expansion) โดยปี 2548 ได้ขยายทำเลใหม่ไปยังย่านฝั่งธนบุรี ได้แก่ โครงการลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า ซึ่งสามารถปิดการขายได้ 100% แล้ว หรือลุมพินี วิลล์ พหล-สุทธิสาร ย่านสะพานควาย ซึ่งได้เปิดตัวไปเมื่อกลางปี 2547 ปัจจุบันโครงการเสร็จสมบูรณ์มีลูกค้าเข้าอยู่อาศัยแล้วกว่า 80% สะท้อนให้เห็นอุปทานของตลาดอสังหาริมทรัพย์ (Supply) ในระดับราคาเฉลี่ย 30,000-40,000 บาท/ตร.ม. ยังมีปริมาณที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการที่เกิดขึ้นจริง (Real Demand)
โดยในปี 2548 ที่ผ่านมาบริษัทฯได้พัฒนา อาคารชุดพักอาศัยทั้งสิ้น 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7,000 ล้านบาท ได้แก่ 1) ลุมพินี เซ็นเตอร์ แฮปปี้แลนด์ เฟส 5 2) ลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า 3) ลุมพินี วิลล์ ศูนย์วัฒนธรรม และ 4) ลุมพินี เพลส นราธิวาส-เจ้าพระยา ซึ่งเป็นการ ดำเนินงานตามกลยุทธ์ในการมุ่งขยายฐานลูกค้า โดยการพัฒนาโครงการในเขตชุมชนรอบนอกที่มีความหนาแน่นสูง (High Density Out-Skirt Area) ใกล้ระบบคมนาคมและขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ ซึ่งทุกโครงการล้วนประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการตอบรับที่ดี ทั้งจากฐานลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ รักษาการ กรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานในปี 2549 ว่า บริษัทฯ มีแผนพัฒนาคอนโดมิเนียม จำนวน 5 โครงการ มูลค่ากว่า 8,500 พันล้านบาท และมีแผนการรับรู้รายได้มากกว่า 4,500 ล้านบาท จาก 4 โครงการที่เปิดตัวในปี 2548 และทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จ และนอกจากกลยุทธ์ต่างๆ ข้างต้นที่ LPN ยังคงให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องแล้ว ในปี 2549 นี้ บริษัทฯ ยังมีกลยุทธ์ ใหม่ๆ ในการรักษาความเป็นผู้นำด้านธุรกิจคอนโดมิเนียมท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรง ได้แก่
1. การรักษาฐานลูกค้าเก่าระดับกลางบน-กลาง โดยพัฒนาคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองในระดับราคา 1 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 1 ปี ใกล้ระบบคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ โดยเน้นกลยุทธ์การสร้างความพึงพอใจสูงสุด ด้วยการให้บริการที่แตกต่าง (Differentiation) โดยลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนห้องชุดให้ตรงกับความต้องการมากที่สุด (Semi-Tailor Made) โดยไม่กระทบกับโครงสร้างหลัก ภายใต้รูปแบบ ที่บริษัทฯ กำหนดขึ้น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง
2. การเจาะฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ซึ่งมีคู่แข่งน้อยราย คือ ตลาดคอนโดมิเนียมระดับ C+ ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูง แต่ปริมาณสินค้าในตลาดยังมีจำนวนจำกัด ด้วยราคาขายเพียง 5 แสนบาทต่อยูนิต ผ่อนชำระต่อเดือนประมาณ 3-4 พันบาท โดยพัฒนาโครงการในรูปแบบของ Small Size Township บนทำเลที่แวดล้อมด้วยระบบคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ หรือแหล่งชุมชนหนาแน่น นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีแผนพัฒนาห้องชุดรูปแบบใหม่ ภายใต้มาตรฐาน LPN Design ให้มีพื้นที่ใช้สอย ที่สอดคล้องกับความต้องการในการดำเนินชีวิตของลูกค้ากลุ่มดังกล่าว
3. การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารอาคารชุด หลังการโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อสร้างเสริมชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้พักอาศัย ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สร้างความแตกต่าง (Differentiation) และเป็นจุดแข็งของบริษัท 4) การรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CESR) ให้ความสำคัญและวางแผนดำเนินกิจกรรมต่างๆ ด้านการรักษาสภาพแวดล้อม และการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมเมืองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับ นโยบายของบริษัทในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล
|