|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เปิดมุมมองคลื่นลูกใหม่ทายาทธุรกิจอสังหาฯ ประสานเสียงเห็นพ้องตลาดอสังหาฯปี 49 ยังโตต่อเนื่อง แต่โตเฉพาะบางเซกเตอร์-ทำเล ทายาท "ปราณีภัณฑ์" ระบุคอนโดฯราคาถูกแนวรถไฟฟ้าดีมานด์ล้น แต่ติดข้อจำกัด ที่ดินหายาก-ราคา แพง-คุมต้นทุนลำบาก ใครพัฒนาได้กำไรชัวร์ ด้าน "สลิล" ทายาทตระกูลปิ่นขยัน แจงดีมานด์ยังอิงเศรษฐกิจเป็นหลัก เชื่อเมกะโปรเจกต์ช่วยเปิดทำเลที่อยู่อาศัยใหม่ให้นักพัฒนาและผู้บริโภค ส่วน "ชื่นชอบ" ทายาท "ชัชวาลย์ คงอุดม"ชี้บ้านระดับกลาง 4-7 ล้านยังชะลอตัว เหตุดอกเบี้ยฉุดกำลังซื้อ เชื่อ ตลาดบ้านระดับล่าง-ไฮเอนด์ขยายตัวต่อเนื่อง
ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดูจะเป็นตลาดธุรกิจที่ทรงเสน่ห์ และเย้ายวนของบรรดากลุ่มนักธุรกิจในหลากหลายสาขา โดยเฉพาะในช่วงปี 1-2 ที่ผ่านมาหลายคน มองว่าเป็นช่วงขาลงของตลาดอสังหาริมทรัพย์แต่ปรากฏว่า ยังมีกลุ่มนักธุรกิจหลายๆ กลุ่มที่ตบเท้าก้าวเข้าสู่การเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หน้าใหม่ ของวงการ เริ่มต้นที่ "พีระศักดิ์ กลิ่นสุนทร" กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินสไตล์ เอสเตท กรุ๊ป จำกัด ที่เข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในนามดีเวลอปเปอร์ หน้าใหม่ ซึ่งเป็นการแตกไลน์ธุรกิจจากผู้นำเข้าค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายยี่ห้อ ในเครือปราณีภัณฑ์ ซึ่งนับว่าการเข้ามาสู่ธุรกิจนี้ไม่ใช่ เรื่องบังเอิญ หรือเป็นไปตามกระแสนิยม
แต่เพราะความสนใจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถูกบ่มเพาะมานานหลายปี เพียงแต่รอช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมก่อนที่จะก้าวเข้ามาในสนามการแข่งขันใหม่ที่แตกต่างจากเดิม เพราะประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเดิม มาจากนักธุรกิจนำเข้าและผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ที่อยู่ในไลน์ของสินค้าเครื่องใช้ภายในบ้าน
ทั้งนี้ จากการผ่านประสบการณ์บริหารโครงการมาแล้วถึง 3 โครงการ นายพีระศักดิ์ กล่าวถึงมุมมองและแนวคิดต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 49 ว่า โดยภาพรวมแล้วคาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ จะลดความร้อนแรงลงจากช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้บ้าง เนื่องจากในช่วงดังกล่าว ผู้ประกอบการในตลาดมีการผลิตซัปพลายออกสู่ตลาดจำนวนมาก ในขณะที่ลูกค้าเริ่มชะลอการซื้อ แต่จากที่ผู้ประกอบการในตลาดลดการผลิตสินค้า ออกสู่ตลาดลงไปทำให้ซัปพลายในตลาดถูกระบายออกค่อนข้างมาก
โดยในส่วนของบริษัทเอง ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับกลางในย่านกลางเมือง เชื่อว่าตลาดในปีนี้ยังมีการขยายตัวอยู่ เนื่องจากซัปพลายในตลาดหายไปเยอะขณะที่ดีมานด์ยังมีอยู่ ส่วนตลาดระดับบนราคาตารางเมตรละ 100,000 บาทขึ้นไปนั้น คาดเดาได้ยาก เนื่องจากยังต้องพึ่งพากลุ่มลูกค้าต่างชาติซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นตัวกำหนด สำหรับตลาด ที่คาดว่าจะโดดเด่นที่สุดในปีนี้คือกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียมระดับ 1 ล้านบาทต้นๆ ลงมา
นายพีระศักดิ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามปัญหาของผู้ประกอบการที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการระดับนี้คือปัญหาเรื่องการหาที่ดินในการพัฒนาเพราะในช่วงที่ผ่านมา ราคาที่ดินมีการปรับตัวขึ้นไปมาก ทำให้ผู้ประกอบการที่เข้ามาพัฒนาโครงการระดับนี้ มีข้อจำกัดเรื่องต้นทุนที่ดิน และการคุมต้นทุนจากราคาวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่หากผู้ประกอบการรายใดสามารถควบคุมต้นทุน และหาที่ดินเข้ามาพัฒนาโครงการระดับดังกล่าวได้จะถือว่าเป็นตลาดที่ดีมาก ซึ่งทำเลที่เหมาะสมกับการพัฒนาโครงการระดับราคา 1 ล้านบาท คือย่านแนวรถไฟฟ้า
ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่เปิดขายอยู่ในมือ 3 โครงการประกอบด้วย โครงการ เดอะโคโลนี ลุมพินีพาร์ค มียอดขายแล้ว 90% โครงการเดอะโคโลนี สุขุมวิท 11 มียอดขายแล้ว 90% เช่นกัน ส่วนโครงการ เดอะคาริสมาสุขุมวิท ขณะนี้มียอดขายแล้ว 50% โดยขณะนี้ทั้ง 3 โครงการบริษัทอยู่ในช่วงเร่งก่อสร้างโครงการเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าตามกำหนด
ส่วนกลุ่มที่ 2 ที่กระโดดเข้ามาสู่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คือตระกูลปิ่นขยัน โดยนายสลิล ปิ่นขยัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสร้างสรรค์ จำกัด ทายาทของ นายสุบิน ปิ่นขยัน อดีต รมว.พาณิชย์ โดยก่อนหน้าที่ก้าวเข้าสู่วงการอสังหาฯ "สลิล" นั่งบริหาร บริษัท เซ้าท์ อีสท์ เอเชีย เทคโนโลยี จำกัด หรือ ซีเทค ที่ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาด้านวิศวกรรม ออกแบบ และควบคุมงานก่อสร้างมากว่า 30 ปี ซึ่งปัจจุบันธุรกิจทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของ "สลิล" พร้อมแตกไลน์ธุรกิจสู่การพัฒนาอสังหาฯ ภายใต้โครงการ นลิน เรสซิเด้นซ์ หทัยราษฎร์ บ้านเดี่ยวสไตล์คอนเท็มโพลารี่ มูลค่าโครงการกว่า 600 ล้านบาท ในย่านถนนมีนบุรี
นายสลิล ปิ่นขยัน กล่าวว่า ดีมานด์ในตลาดปัจจุบันยังอิงกับสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ของประเทศ ซึ่งหากในปีนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวม ของประเทศหรือจีดีพี ยังมีการขยายตัวอยู่ที่ 4-5% เชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ จะมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีโครงการเมกะโปรเจกต์ การตัดถนนเข้ามาเสริม จะยิ่งทำให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบมากขึ้นซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยบวกของตลาด นอกจากนี้ยังเป็นการ เปิดพื้นที่และทำเลที่อยู่อาศัยใหม่ให้กับนักพัฒนาและผู้บริโภคด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม จากภาวะความผันผวน ของราคาน้ำมัน และแนวโน้มการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ จะทำให้ผู้บริโภคระมัด ระวังในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดยจะเน้นการเลือกซื้อที่อยู่ที่เหมาะสมกับกำลังซื้อและกำลังผ่อนของตนเองมากขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทเอง ยังมีความมั่นใจกับตลาดระดับราคาขาย 2.5-3 ล้านบาท ในโซนตะวันออกเฉียงเหนือ ของ กทม. ย่านถนนรามอินทรา ถนนสุวินทวงศ์ ถนนมีนบุรี จะได้รับผลอิทธิพล ผลบวกจากการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งในส่วนนี้มั่นใจว่าผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อมีอยู่จำนวนมาก ซึ่งในเรื่อง การควบคุมต้นทุนในการพัฒนาโครงการนั้น บริษัทซึ่งมีประสบการณ์ในการก่อสร้าง และการ ออกแบบอยู่แล้ว จึงทำให้สามารถควบคุมได้ทุนก่อสร้างและมาตรฐานในการก่อสร้าง และมั่นใจว่าจะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้แน่นอน อย่างไรก็ตามอาจจะมีบางพื้นที่อาจจะมีผลเสียจากในเรื่องของมลภาวะทางเสียง และการเดินทางเนื่องจากอยู่ไกลเมืองบ้าง
ส่วนปัจจัยลบนั้น ยังเป็นห่วงเรื่องทาง การเมือง ซึ่งหากมีผลในทางลบอาจจะทำให้ผู้บริโภคและนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น แต่หากมีผลบวกก็จะช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นกับกลุ่มผู้บริโภคและนักลงทุน ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ โดยรวมของประเทศ
ตระกูล "คงอุดม" นับเป็นอีกตระกูลดังตระกูลหนึ่งที่ก้าวเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในปี 48 ด้วยการงัดเอาที่ดินสะสมของ ตระกูล"คงอุดม" ประเดิมการเข้ามาพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ภายใต้ชื่อโครงการ "มัณธารา" พัทยา มูลค่า 130 ล้านบาท ซึ่งเน้น พัฒนาโครงการอิงการท่องเที่ยว "โรงแรม- รีสอร์ต" ฝั่งตะวันออกของไทย โดยมีนาง วงเดือน คงอุดม เป็นประธาน บริษัท ดับบลิว. ซี.เค.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และพ่วงด้วยบุตรชาย หัวแก้วหัวแหวน "ชื่นชอบ คงอุดม" เข้ามาร่วมบริหารโครงการในฐานะรองประธาน กรรมการบริษัท
นายชื่นชอบ กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี49 ว่า ในปีนี้เชื่อว่าอัตราการเติบโตของตลาดจะไม่สูงเท่ากับปีที่ผ่านๆมา โดยเฉพาะตลาดบ้านระดับกลางใน กทม. ที่มีระดับราคาขาย 4-7 ล้านบาท ซึ่งโดยส่วนตัว เชื่อว่าบ้านในระดับดังกล่าวใกล้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว เนื่องจากในช่วงก่อนหน้ามีการพัฒนาบ้านในตลาดระดับกลางออกมามาก ทำให้ซัปพลายยังเหลืออยู่ในตลาด นอกจากนี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย และการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ไม่เป็นไปตามเป้าคือขยายตัวไม่ถึง 6% ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้ตลาดระดับกลางชะลอตัว เนื่องจากมีผลต่อกำลังซื้อและการชะลอการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในตลาดด้วย
ในขณะที่บ้านไฮเอนด์และบ้านระดับล่าง ยังมีความต้องการอยู่ โดยเฉพาะบ้านระดับล่างมีความต้องการสูงมาก ซึ่งแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับขึ้นไปบ้างแต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับกำลังซื้อและการผ่อนส่งมากเท่าใดนัก ส่วนบ้านระดับบนกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง จึงไม่ให้ความสำคัญกับอัตราดอกเบี้ยมากนัก ดังนั้นจึงเชื่อว่าในปีนี้ตลาดระดับบนและระดับล่างจะขยายตัวต่อเนื่อง
ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพัทยา ในทุกเซกเตอร์ ยังถือว่าตลาดขยายตัวต่อเนื่อง เพราะได้รับอิทธิพลจากการเปิดตัวของสนามบิน สุวรรณภูมิ และแนวโน้มการพัฒนาโครงการของภาครัฐ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับขึ้นก็ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดเนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ซึ่งจากการสำรวจดีมานด์ของบริษัทล่าสุดพบว่าอัตราการขยายตัวของดีมานด์ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
|
|
|
|
|