|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ทิปโก้ฟูดส์ ไฟเขียว "ทิปโก้ เอฟแอนด์บี" ซึ่งเป็นบริษัทย่อยซื้อโรงงานผลิตเครื่องดื่มที่เชียงใหม่ มูลค่า 215 ล้านบาท เพื่อเพิ่มจำนวน สินค้าและขยายกำลังการผลิต โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนจากการดำเนินงานโบรกฯชี้แนวโน้ม TIPCO ปีนี้ยังเจ๋งทั้งรายได้และกำไร เพราะกำลังการผลิตที่โรงงานใหม่ที่อยุธยาแล้ว ยังได้แรงหนุนจากโรงงานของบริษัทย่อย แต่ธุรกิจน้ำผลไม้แข่งรุนแรง อาจส่งผลต่อมาร์จิ้นให้ต่ำลง แต่ยังแนะซื้อได้หลังราคากระดานยังต่ำกว่าเหมาะสมที่ 5.35 บาท
นายวิวัฒน์ ลิ้มศักดากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TIPCO) แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2548 เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2548 ได้มีมติให้บริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยได้ซื้อโรงงานผลิตเครื่องดื่มซึ่งประกอบด้วยสินทรัพย์คือ ที่ดิน อาคาร คลังสินค้า เครื่องจักร และเฟอร์นิเจอร์ วัตถุประสงค์ของการซื้อเพื่อขยายชนิดผลิตภัณฑ์และเพิ่มกำลังการผลิตโดยการโอนกรรมสิทธิ์ของสินทรัพย์จากการลงทุนดังกล่าวแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2548
รายการซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 30 ธันวาคม 2548 โดย เป็นที่ดิน อาคารโรงงาน คลังสินค้า เครื่องจักร และเฟอร์นิเจอร์ คิดเป็น มูลค่า 215 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และได้ดำเนินการมา 10 ปี สำหรับการซื้อเครื่องจักรครั้งนี้ เพื่อเพิ่มจำนวนสินค้าและขยายกำลังการผลิต โดยใช้ทุนหมุนเวียน ขนาด ของรายการคิดเป็น ร้อยละ 7.92 ของ สินทรัพย์รวม และผู้ซื้อและรายการที่เกิดขึ้นเป็นรายการที่ไม่เกี่ยวโยงกัน กับ TIPCO
ทั้งนี้ การคำนวณขนาดของรายการในครั้งนี้ คิดเป็นจำนวนเงินของรายการ 215 ล้านบาท และสินทรัพย์รวมของบริษัท ณ 30 กันยายน 2548 คือ 2,713.60 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.92% ของสินทรัพย์รวม
จากกรณีดังกล่าว ที่บอร์ดของ TIPCOได้อนุมัติให้บริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ซื้อโรงงานผลิตเครื่องดื่มซึ่งประกอบด้วยสินทรัพย์ คือ ที่ดิน อาคาร คลัง สินค้า เครื่องจักร และเฟอร์นิเจอร์ มูลค่า 215 ล้านบาทที่ตั้งอยู่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อขยายชนิดผลิตภัณฑ์และเพิ่มกำลังการผลิตโดยการโอนกรรมสิทธิ์ของสินทรัพย์จากการลงทุนดังกล่าวแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2548
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า กรณีดังกล่าวน่าจะส่งผลดีต่อบริษัทฯ เนื่องจาก เป็นการขยายกำลังการผลิตรองรับคำสั่งซื้อที่คาดว่าจะเพิ่ม ขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องขอศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมว่าการซื้อโรงงานดังกล่าวจะได้ประโยชน์ ด้านใดเพิ่มอีกบ้าง
สำหรับแนวโน้มธุรกิจบริษัทฯในปี 2549 ยังขยายตัวได้ดี โดยประมาณการกำไรปกติจากการดำเนินงานอยู่ที่ 354 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปี 2548 ที่มีกำไรปกติจากการดำเนินงานประมาณ 341 ล้านบาท ส่วนรายได้อยู่ที่ 3,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 3,548 ล้านบาท โดยผลประกอบการที่เติบโตเป็นผลจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นรวมถึงกำลังการผลิตที่ขยายตัวหลังจากทางบริษัทฯเปิดดำเนินการโรงงานแห่งใหม่ ที่อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ของบริษัทฯในปีนี้อาจลดลงบ้าง หากเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้บริษัทฯอาจต้องใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดเข้าช่วย โดยปัจจุบันในส่วนของตลาดน้ำผลไม้ 100% มีส่วนแบ่งตลาดฯอันดับ 1 อยู่ที่ประมาณ 45% ขณะที่ตลาดน้ำผลไม้ 25-40% มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 อยู่ที่ประมาณ 25% รองจากยูนิฟที่เป็นอันดับ 1
ด้านผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิ 73.66 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.1698 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิ 70.07 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.1626 บาท ขณะที่งวด 9 เดือน กำไรสุทธิ 244.40 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.5645 บาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 240.36 ล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.559 บาท
โดยจากแนวโน้มธุรกิจที่ยังขยายตัวดี และราคาหุ้นบนกระดานต่ำกว่าราคาเหมาะสมจึงแนะนำนักลงทุนซื้อหุ้น TIPCO ได้ ในราคาเหมาะสม 5.35 บาท
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวด้านราคาหุ้นของ TIPCO วานนี้ พบว่าเปิดตลาดมาที่ 4.40 บาท และราคาปรับไปสูงสุดช่วงเช้าที่ 4.52 บาท หลังจากนั้นราคาก็ค่อนข้างนิ่ง และมูลค่าซื้อขายช่วงเช้าอยู่ที่ 0.90 ล้านบาท จนกระทั่งช่วงบ่ายพบว่าแรงซื้อขายมีเข้ามาไม่มากนัก โดยมีราคาต่ำสุดที่ 4.36 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 4.44 บาท ลดลงจากวันก่อน 0.16 บาท หรือคิดเป็น 3.48% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 0.96 ล้านบาท
|
|
|
|
|