คงไม่มีผู้ประกอบการรายไหนกล้าปฏิเสธว่าตลาดยุโรปและอเมริกาคือแหล่งเงินแหล่งทองสำหรับการทำธุรกิจ
แต่ในปัจจุบันจากสภาพเศรษฐกิจทั้งยุโรปและอเมริกากำลังอยู่ในช่วงชะลอตัวประกอบกับการแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้น
ส่งผลให้ตัวเลขยอดขายของบรรดาผู้ประกอบการทั้งหลายต่างชะลอตัวไปตามสภาพเศรษฐกิจ
แต่ในทางตรงกันข้ามภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กลับเป็นตลาดที่กำลังเป็นที่หมายปองของผู้ประกอบการแถบยุโรปและอเมริกาด้วยการขยายการลงทุนเข้ามาเปิดโรงงานกันมาก
สาเหตุเนื่องจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเป็นภูมิภาคกำลังพัฒนา ฉะนั้นอัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจจึงมีค่อนข้างสูงประมาณ
8% ขึ้นไป ประโยชน์ที่ได้เมื่อขยายการลงทุนเข้ามาแล้วคือ ค่าจ้างแรงงานยังอยู่ในระดับที่ต่ำสิ่งที่ตามมาคือต้นทุนการผลิตก็อยู่ในระดับที่ต่ำด้วย
และสิ่งสุดท้ายที่ได้ก็คือผลประกอบการจะสูงขึ้นอย่างมหาศาลเพียงแต่นำเทคโนโลยีเข้ามาเท่านั้น
บริษัท ดูปองท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากอเมริกาที่ดำเนินงานครอบคลุมธุรกิจแทบทุกประเภทตั้งแต่การบินและอวกาศ
ยานยนต์ ก่อสร้าง การเกษตร พลังงาน สิ่งทอ เวชภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และการพิมพ์
ก็เป็นบริษัทข้ามชาติบริษัทหนึ่งที่ได้เข้ามาขยายกิจการในแถบภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์
สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม และไทย
สำหรับประเทศไทยนั้นดูปองท์ดำเนินงานภายใต้ บริษัท ดูปองท์ (ประเทศไทย)
จำกัด เข้ามาเปิดในปี 2514 โดยได้นำผลิตภัณฑ์เข้ามาจำหน่าย และในปี 2526
ได้เปิดโรงงานผลิตและบรรจุสารกำจัดวัชพืชขึ้นที่บางปู นอกจากนี้ยังได้นำผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ต่างๆ
เช่น เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม เคมีภัณฑ์เพื่อการเกษตร สีพ่นรถยนต์ ฟิล์ม พลาสติก
เส้นใยสังเคราะห์ ส่วนประกอบอีเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี เข้ามาจำหน่าย
ปัจจุบันดูปองท์ในประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารของ ธีระชัย องค์มหัทมงคล
ในฐานะประธานกรรมการซึ่งถือว่าเป็นลูกหม้อของดูปองท์อย่างแท้จริงเพราะทำงานในบริษัทมาแล้วกว่า
20 ปี
เขากล่าวไว้ว่าสาเหตุที่ตั้งโรงงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เคมีด้านการเกษตร เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเกษตร
ดังนั้นความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านนี้จึงมีสูง ซึ่งสินค้าที่ดูปองท์ผลิตออกมาจำหน่าย
ได้แก่ อัลไลย์. ไฮวาร์เอกซ์, แลนเนท และเวลปาร์
"ปัจจุบันเรามีส่วนแบ่งการตลาดด้านธุรกิจเคมีภัณฑ์ด้านการเกษตรในระดับต้น
ๆ คู่แข่งของเรานั้นมีทั้ง ICI, Monsanto, Ciba Geigy, Rhone Poulence และ
AgreEvo"
นอกจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ด้านการเกษตรแล้ว ในปี 2540 ดูปองท์จะเน้นหนักผลิตภัณฑ์ในหมวดเส้นใยและเคมีภัณฑ์เป็นธุรกิจหลักในการทำยอดขาย
"ที่เราเน้นกลุ่มนี้เพราะเส้นใยของเราเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย
ซึ่งเส้นใยของเราเป็นชนิดพรีเมี่ยมที่สอดคล้องกับธุรกิจสิ่งทอในยุคปัจจุบัน
ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูง เพื่อแข่งขันในตลาดโลก"
ธีระชัย เล่า
โดยตลาดสิ่งทอในเมืองไทยกำลังเปลี่ยนจากตลาดล่างไปสู่ตลาดกลางและตลาดบน
ดังนั้นผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เช่น
การเปลี่ยนแปลงในด้านเทคโนโลยี การตลาด แต่การปรับปรุงคงจะต้องใช้เวลามากพอสมควร
ฉะนั้นความได้เปรียบของดูปองท์สำหรับการเปลี่ยนแปลงจึงมีค่อนข้างสูง เนื่องจากผลิตภัณฑ์
สิ่งทอก็จับตลาดระดับกลางและบนอยู่แล้ว
"การปรับตัวเราจะค่อย ๆ แทรกเข้าไปทำงานกับพันธมิตรบริษัทผู้ผลิตผ้า
เสื้อผ้า และในที่สุดเมื่อตลาดปรับตัวเข้าสู่ระดับบนได้แล้วตลาดก็จะใหญ่ขึ้นตามไปด้วย"
ธีระชัยกล่าว
สำหรับผลิตภัณฑ์เส้นใยสังเคราะห์ (Polyester) ที่จะนำเข้ามาจำหน่ายนั้นจะเน้นหนักอยู่
3 ชนิด ได้แก่ Dacron เป็นเส้นใยเหมาะสำหรับตัดชุดกีฬา เสื้อผ้าชนิดต่าง
ๆ ผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์, Nylon เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับดูปองท์เป็นอย่างมาก
ปัจจุบัน Nylon มีผู้นำไปผลิตเป็นสินค้าต่าง ๆ อย่างมากมาย เช่น หลอดยาสีฟัน
เสื้อผ้า และ Lycra เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มคุณสมบัติพิเศษให้กับเนื้อผ้าที่ถักทอผสมอยู่
ไม่ว่าจะเป็นฝ้าย ไหม ลินิน วิสโคส เป็นต้น ทำให้เนื้อผ้าที่มีส่วนผสมของเส้นใย
Lycra นุ่ม มีความยืดหยุ่น เหมาะสำหรับตัดเย็บชุดชั้นใน ชุดว่ายน้ำ ถุงน่อง
ถุงเท้า
นอกจากนี้ดูปองท์ยังได้เตรียมแผนการลงทุนในประเทศไทยไว้ในระยะยาวด้วยการตั้งเป้าลงทุนไว้สูง
2,500 ล้านบาท ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยจะเน้นใน 3 ธุรกิจหลักคือ อุตสาหกรรมที่ตอบสนองคุณภาพชีวิต
อุตสาหกรรมรถยนต์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเรียลเอสเตท
"แต่ขณะนี้เรายังบอกชัดเจนอะไรไม่ได้ เพราะเราต้องศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างของเมืองไทยกับประเทศที่มีลักษณะสภาพเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกันกับเรา
เช่นโครงการอุตสาหกรรมที่ตอบสนองคุณภาพชีวิตต้องเปรียบเทียบกับอินโดนีเซีย
โครงการอุตสาหกรรมรถยนต์เทียบกับมาเลเซีย" ธีระชัย กล่าว
อีกทั้งลักษณะการลงทุนของดูปองท์จะแตกต่างไปจากอดีตอย่างมาก เพราะในอดีตเวลาลงทุนจะเข้าไปในลักษณะเต็ม
100% แต่ปัจจุบันดูปองท์ได้เปิดโอกาสให้บริษัทท้องถิ่นเข้ามาร่วมลงทุนด้วยแต่บริษัทร่วมลงทุนจะต้องมีนโยบายใกล้เคียงกับดูปองท์
อย่างไรก็ตามดูปองท์ก็ยังรักษารูปแบบการลงทุนเดิมๆ อยู่ คือ พยายามหาพันธมิตรให้น้อยที่สุด
"อย่างเช่นในปัจจุบันที่เรากำลังดำเนินโครงการอยู 2-3 โครงการ ก็ได้มีการเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นอยู่
2 รายซึ่งเป็นบริษัทดำเนินธุรกิจทางด้านปิโตรเคมี แต่เราก็ยังไม่สรุปว่าจะออกมาเป็นอย่างไร
เราอาจจะลงทุนเองหรือในลักษณะร่วมลงทุน" ธีระชัย เล่า
เมื่อบริษัทแม่ได้ตั้งความหวังสำหรับการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกไว้มากขนาดนี้แล้ว
ย่อมหมายความว่าการตั้งความหวังด้านยอดขายของบริษัทลูกในแถบภูมิภาคนี้รวมทั้งในประเทศไทยย่อมมีสูงเช่นเดียวกัน
และเพื่อฉลองในโอกาสครบรอบ 200 ปีของการก่อตั้งบริษัทในปี 2002 ได้ตั้งยอดขายไว้สูงถึง
80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ปัจจุบันมียอดขายเพียง 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยยอดขายประมาณ 10% ของยอดขายทั้งหมดจะมาจากบริษัทลูกในแถบเอเชีย-แปซิฟิก
"บริษัทแม่ตั้งเป้ายอดขายไว้ในปี 2002 ว่าต้องเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
แต่เราเชื่อว่า ยอดขายของบริษัทดูปองท์ในประเทศไทยจะโตขึ้นประมาณ 3 เท่าโดยปีนี้เราคาดว่ายอดขายจะโตขึ้นประมาณ
20% ส่วนยอดขายทั้งเอเชีย-แปซิฟิกคาดว่าจะโตขึ้นประมาณ 20% เช่นเดียวกัน
"ธีระชัย กล่าว
คงจะต้องจับตาดูว่าดูปองท์จะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคในการทำธุรกิจไปได้ตามหวังที่ได้ตั้งเป้าไว้หรือไม่
กับสภาพเศรษฐกิจไทยกำลังย่ำแย่และไม่รู้ว่าจะฟื้นตัวได้เมื่อไหร่