|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
GFM เล็งลงทุนเพิ่มที่อินเดียขยาย ตลาดส่งออก เชื่อความต้องการมีต่อเนื่องและจำนวนประชากรมีสูง หลังเปิดโรงงานที่เวียดนามเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนเป็นหลักพร้อมตั้งเป้ารายได้ปีหน้าโต 20% หลังตั้งบริษัทย่อยเพื่อจำหน่ายสินค้า
นางสาวศรีแพร เตชะมาถาวร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ จำกัด (มหาชน) (GFM) เปิดเผยแผนงานปี 2549 ว่า ขณะนี้ได้เซ็นสัญญาเพื่อเช่าที่ดินในเวียดนาม ซึ่งเป็นที่ดินของบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เวียดนาม เนื้อที่ 11,000 ตารางเมตร ระยะเวลาเช่า 40 ปี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อสร้างโรงงานและติดตั้งเครื่องจักร คาดดำเนินการได้ต้นปี 49 และจะเร่งที่จะผลิตให้ได้กลางปี เพื่อรองรับออเดอร์ ที่เพิ่มขึ้น
โดยโรงงานแห่งใหม่นี้ จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 30% จากกำลังการผลิตในปัจจุบันที่ผลิตของโรงงานที่ไทยผลิตได้เดือนละล้านกว่าเม็ด ซึ่งเริ่มแรกนั้น จะเจียระไนพลอยก่อน หลังจากนั้นจึงจะขยายการผลิตให้หลากหลายเพิ่มขึ้น ในการผลิตงานอัญมณีและงานเงิน
จากการมีโรงงานแห่งใหม่ที่เวียดนามนั้น เพื่อต้องการลดต้นทุนเรื่องค่าแรงเป็นสำคัญ ส่วนการตลาดในเวียดนามนั้นถือเป็นการขยายตลาดอีกส่วนหนึ่งด้วย หลังตลาดเวียดนามมีการตอบรับสินค้าที่บริษัทส่งออกไปจำหน่ายเพื่อทดลองตลาดมาแล้ว
นางสาวศรีแพรกล่าวว่า นอกจากการรุกเวียดนามแล้ว บริษัทยังเล็งที่จะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ด้วย โดยเบื้องต้นเล็งอินเดียเป็นลำดับต่อไป เพราะอินเดียใหญ่เป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก และความต้องการสินค้าอัญมณีก็ยังมีสูง พร้อมกับมั่นใจว่าหากเข้าไปลงทุนที่อินเดียแล้ว จะง่ายต่อการทำตลาดในประเทศดังกล่าว และดีกว่าการส่งสินค้าไปจำหน่ายเพราะต้องจ่ายภาษีหลายขั้นตอน เงื่อนไขในการส่งสินค้าไปจำหน่ายก็มีมากด้วย
"ถ้าจะเข้าบุกอินเดีย เราก็ต้องไปแบบผลิตแล้วขายที่โน่นเลย เพื่อลดปัญหาค่าใช้จ่ายและภาษีที่เกิดขึ้นตามรายทาง แต่ก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่ใช่ ระยะนี้ เพราะเราต้องให้โรงงานที่เวียดนามเข้าที่เข้าทางก่อน คงอีกไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีข้างหน้า"นางสาวศรีแพรกล่าว
ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับเงินทุนของบริษัทด้วย เพราะ GFM ไม่ต้องการเพิ่มทุนและไม่ต้องการเพิ่มภาระให้บริษัท หากจะมีการลงทุนก็จะเน้นใช้เงินทุน หมุนเวียนหรืออาจกู้บ้าง ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ของการเงินในช่วงนั้นเป็นสำคัญ
ก่อนหน้านี้ GFM ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกทั้งหมด ขณะนี้ได้หันมารุกตลาดในประเทศ ภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ดำเนินการโดยบริษัทออโรพลัส จำกัด ซึ่งมี GFM ถือหุ้น 99% และจะเริ่มจำหน่ายงานเงินก่อน ซึ่งจะมีการวางจำหน่ายแห่งแรก ในห้างเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ตามด้วยห้างเอ็มโพเรียม และสยามพารากอน ตั้งเป้ายอดขายในปีแรกอยู่ที่ประมาณ 5% ของยอดขายของบริษัทแม่และคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี49 นี้
"การจัดตั้งบริษัทดังกล่าว เป็นผลต่อเนื่องมาจากแผนงานของบริษัทที่ต้องการทำสินค้าแบรนด์ของตัวเองเพื่อขายในประเทศ หลังจากที่ผ่านมา GFM ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกทั้งหมดและผลิตตามออเดอร์สินค้าที่มีเข้ามา การที่สร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งหลังจากสร้างแบรนด์ของตัวเองแล้ว ก็จะนำสินค้าไปจำหน่ายในต่างประเทศต่อไป" นางสาวศรีแพรกล่าว
ขณะที่ตลาดหลักของ GFM จะเป็นประเทศแถบยุโรป คือ เยอรมนี สวีเดน เนเธอร์แลนด์ ประมาณ 60-70% สหรัฐฯ ประมาณ 25-30% และออสเตรเลียประมาณ 3-5% ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 120,000 ชิ้นต่อเดือน
นางสาวศรีแพรกล่าวถึงค่าเงินที่ผันผวนว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อ GFM มากนัก แต่เรื่องของราคาน้ำมันและราคาวัตถุดิบที่เป็นโลหะและพลอย ปรับเพิ่มขึ้นกระทบผลการดำเนินงานบ้าง โดยเฉพาะวัตถุดิบที่ทะยานไปสูงพอสมควร แต่เนื่องจากบริษัทสามารถผลักภาระให้กับลูกค้าได้ ซึ่งลูกค้ายอมรับกับภาวะดังกล่าวได้ ซึ่งการปรับราคาสินค้าแต่ละครั้งประมาณ 5% เท่านั้น และการที่ทำสัญญาล่วงหน้ากับลูกค้าไว้ ทำให้ลดความเสี่ยงได้มากพอ ประกอบกับที่บริษัทหันมาเน้นงานเงินมากขึ้น ทำให้ความผันผวนมีน้อยลงในเรื่องของการจำหน่าย
"แต่ไม่ใช่วัตถุดิบเพิ่มแล้วเราถึงจะปรับราคา เพราะโดยปกติแต่ละปี เราก็พัฒนาผลิตภัณฑ์และผลิตสินค้าออกมาหลากหลายและเพิ่มอะไรใหม่ๆ แบบใหม่ๆ ที่เราก็สามารถเพิ่มราคาขายได้ตามรูปแบบของงานที่เราผลิตออกด้วย จึงไม่กระทบกับกรอสมาร์จิ้นของเรา" นางสาวศรีแพรกล่าว
สำหรับปี 49 แนวโน้มน่าจะดีต่อเนื่องจากปีนี้ และการที่โรงงานแห่งใหม่จะผลิตได้ น่าจะมีส่วนช่วยให้ผลการดำเนินงานไม่ต่างจากปีที่ผ่าน ๆ มา ขณะเดียวกัน จากการที่ GFM ตั้งบริษัทย่อยอย่าง ออโรพลัส (ประเทศไทย) ก็จะเสริมความหลากหลายในการจำหน่ายสินค้าของบริษัท
|
|
|
|
|