ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจไทย ทำให้อะไรอะไรก็พลอยดูไม่น่ามั่นใจกันไปหมด
แม้กระทั่งธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ที่เตรียมการกันมาเนิ่นนานจนได้รับใบอนุญาตกันไปแล้ว
3 แห่งคือธนาคารเจเนอรัล เอเชีย ของกลุ่ม บงล.จีเอฟ ธนาคารปฐมไทยของกลุ่มอิตาเลียนไทย
และธนาคารนครราชสีมาของกลุ่มเอ็มบีเค พร็อพเพอร์ตี้ฯ
ล่าสุดธ.ปฐมไทย และธ.นครราชสีมา ได้ยื่นหนังสือขอผ่อนผันการกระจายหุ้นให้ประชาชนออกไปเป็นปี
2541 โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากภาวะตลาดหลักทรัพย์ซบเซาอย่างหนัก คาดว่าการกระจายหุ้นจำนวน
50% หรือ 3,750 ล้านบาทแก่ประชาชนภายในระยะเวลา 6 เดือนนั้นไม่สามารถทำได้
เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดไว้ว่าประชาชนจะซื้อหุ้นได้อย่างมากไม่เกินรายละ
1 แสนบาท ดังนั้นอย่างน้อยต้องมีผู้ซื้อถึง 37,000 คนจึงจะสามารถขายหุ้นได้หมดทั้ง
3,750 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามทั้ง 2 กลุ่มได้ยื่นเรื่องขอผ่อนผันเข้าไปแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน
และยังคงรอคำตอบจากกระทรวงการคลังอยู่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร ขณะที่มีกระแสข่าวว่า
ดร.อำนวย วีรวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและดร.ศิริ การเจริญดี ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยต่างมีความเห็นสอดคล้องกันว่าไม่ควรผ่อนผันให้
ทั้งนี้หลักเกณฑ์เดิมคือกลุ่มที่ได้รับอนุญาตจัดตั้งแบงก์ใหม่ทั้ง 3 แห่ง
จะต้องดำเนินการจัดตั้งให้เรียบร้อยภายใน 1 ปี นับจากวันที่ 13 มค. 2540
จากนั้นแบงก์ชาติจึงจะมอบใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ให้
แม้ว่าอีก 2 กลุ่มจะมีทีท่าล่าถอยออกไปแล้ว แต่ธ.เจเนอรัล เอเชีย ของค่ายจีเอฟ
ยังคงปักหลักสู้ขาดใจ
"ธนาคารของเรามีกำหนดการเปิดบริการได้ในปลายเดือนตุลาคมนี้" ซินเวศ
สารสาส ประธานกรรมการและประธานบริหารธนาคารเจเนอรัลเอเชียกล่าวยืนยัน
เขามองว่าเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้วและคาดว่าจะฟื้นตัวได้ในปลายปีนี้
เนื่องจากปัญหาหลัก 4 ประการคือ ความถดถอยของภาคส่งออก เสถียรภาพค่าเงินบาท
ความไม่มั่นคงของสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นผลจากภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และเรื่องของอัตราดอกเบี้ยนั้นกำลังได้รับการแก้ไข
โดยภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันอย่างเต็มที่ คาดว่าปัญหาเหล่านี้จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นในปลายปีนี้
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สอดคล้องกับการจัดตั้ง ธ.เจเนอรัล เอเชียจึงถือเป็นโอกาสดีในการทำธุรกิจ
ในจังหวะที่ธ.ปฐมไทย และธ.นครราชสีมาขอเลื่อนการกระจายหุ้นและจัดตั้งธนาคารออกไปอีก
1 ปี เนื่องจากภาวะของตลาดหลักทรัพย์ไม่เอื้อต่อการกระจายหุ้นนั้น จะทำให้ธ.เจอนอรัลเอเชีย
สามารถกระจายหุ้นต่อประชาชนได้ดีขึ้น
"ถ้า 3 แบงก์กระจายหุ้นพร้อม ๆ กันภายในปีนี้ คงจะขายหมดยาก แต่เมื่อเหลือของเราแห่งเดียว
คงไม่มีปัญหาอะไร" ชินเวศ กล่าว
ทั้งนี้ อนุวัตร โกศล กรรมการรองกรรมการผู้จัดการแบงก์เจเนอรัล เอเชีย เปิดเผยว่า
ธนาคารต้องกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้น 4 กลุ่ม คือกลุ่มผู้เริ่มจัดตั้งที่เป็นแกนหลัก
25 % กลุ่มผู้ร่วมจัดตั้ง 25% ประชาชนทั่วไป 40% และประชาชนในจังหวัดขอนแก่นอีก
10% รวมทั้งสิ้นเป็นทุนจดทะเบียน 7,500 ล้านบาท
ขณะนี้ธนาคารได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) ให้เสนอขายหุ้นแล้ว โดยจะมีการโรดโชว์กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในจังหวัดต่างๆ
กว่า 10 จังหวัด
ขณะนี้ธนาคารได้ส่งจดหมายให้สิทธิจองซื้อหุ้นกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มแรก จำนวน
225,000 ราย ซึ่งนักลงทุนจะต้องตอบรับยืนยันจองซื้อหุ้นภายใน 30 วัน หากครบกำหนดแล้วยังขายหุ้นไม่หมด
ธนาคารได้ขอผ่อนผันกับกระทรวงการคลังและ ก.ล.ต.เพื่อเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป
ซึ่งคาดว่าจะไม่มีปัญหาและหุ้นของธนาคารจะสามารถเข้าจดทะเบียนในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์กรุงเทพได้ภายในปีนี้
นอกจากเรื่องการกระจายหุ้นขณะนี้ธนาคารได้ลงทุนในเรื่องบุคลากรไปแล้ว 60
คน และคอมพิวเตอร์อีกกว่า 100 ล้านบาท
ธนาคารได้ประมาณการผลการดำเนินงานตามแผน 5 ปี (2541-2545) ไว้ว่าในปีที่
5 จะมีสินทรัพย์รวม 76,961 ล้านบาท รายได้รวม 9,330 ล้านบาท และกำไรสุทธิ
990.45 ล้านบาท โดยในปี 2541-2544 จะมีกำไรสุทธิ 154.28, 206.33, 396.31
และ 629.41 ล้านบาทตามลำดับ
ชินเวศ กล่าวว่าทิศทางของธนาคารจะเป็นธนาคารเพื่อบริการลูกค้ารายย่อย (Retail
Banking) สำหรับกลยุทธ์การแข่งขันจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและเทคโนโลยีสารสนเทศ
(ไอที) เข้ามาช่วย เพื่อทำให้การบริการลูกค้าเป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลายเดือนมกราคม ธนาคารได้มีการเซ็นสัญญามูลค่า 800 ล้านบาทกับบริษัทไฟเซิร์ฟ
ซึ่งเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ทางด้านการวางระบบคอมพิวเตอร์ให้กับธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลก
การนำระบบนี้มาใช้จะสามารถลดขั้นตอนของงานเอกสารลง และเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ
ทั้งยังประหยัดบุคลากรอีกด้วย โดยแต่ละสาขาจะมีบุคลากรเฉลี่ยประมาณ 10 คนเท่านั้น
คาดว่าภายในปีนี้สำนักงานใหญ่ในจังหวัดขอนแก่นและสำนักงานสาขาในกรุงเทพฯจะเปิดดำเนินการได้
และภายในปี 2545 จะสามารถเปิดสาขาทั้งหมดได้ 64 แห่ง
"กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นรายย่อยขนาดกลางและเล็กส่วนหนึ่งมาจากสายสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้นของธนาคาร
และอีกส่วนมาจากการหาตลาดของธนาคารเอง" ชินเวศกล่าว
จากคำยืนยันทั้งคำพูดของผู้บริหาร และสิ่งที่ได้ดำเนินการได้แล้วหลายอย่าง
เชื่อได้ว่าใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ 5 ใบที่แบงก์ชาติหวังแจกจ่ายภายในปีนี้
อย่างน้อยก็จะมีธ.เจเนอรัล เอเชีย แห่งหนึ่งที่เปิดดำเนินการได้ทันตามกำหนด
ส่วนอีก 4 ใบนั้นยังต้องรอลุ้นกันต่อไป