ในแต่ละปีย่อมมีสินค้าที่เป็นดาวรุ่งแห่งปี และสินค้าดาวร่วงแห่งปีด้วยเช่นกัน อย่างในปี 2548 หากจะจัดสินค้าดาวร่วงแห่งปี คงจะหนีไม่พ้นตลาดชาเขียวพร้อมดื่ม โดยพบว่าภาพรวมตลาดชาเขียวพร้อมดื่มในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมานี้มีมูลค่าเพียง 4,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตส่อเค้าเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง นับจากช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ตลาดชาเขียวลดลง 15-20% ทุกรอบเดือน ล่าสุดเฉพาะรอบเดือนกันยายน-ตุลาคม ตลาดชาเขียวตกลง 15% โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ตลาดจะมีมูลค่า 5,000-6,000 ล้านบาทเท่านั้น ส่งผลให้ตลาดชาเขียวมีอัตราการเติบโตที่ลดลงในรอบ 4 ปี หรือนับตั้งแต่ชาเขียวเริ่มวางตลาดในปี 2544
ปัจจัยที่ทำให้ตลาดชาเขียวมีอัตราการเติบโตลดลงในปีนี้อย่างน่าตกใจ เกิดจากตั้งแต่ช่วงต้นปีชาเขียวมีกระแสข่าวลบมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นพบสารตกค้างในขวด การโจมตีประโยชน์ของชาเขียวว่าดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่ กระทั่งกระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือ ห้ามมีการทำโปรโมชัน และล่าสุดขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการลดราคาชาเขียวลง จากราคาขาย 20 บาท เนื่องจากพบว่าต้นทุนการผลิตชาเขียวต่ำประมาณ 8.50 บาทต่อขวด โดยผู้ประกอบการหลายค่ายประเมินสถานการณ์ว่า การเติบโตของตลาดชาเขียวในปีหน้านี้น่าจะอยู่ที่ 20% ก็ถือว่าเก่งแล้ว โดยงานนี้นายตัน ภาสกรนที เจ้าพ่อชาเขียวโออิชิ ยังออกมายอมรับว่าตลาดชาเขียวกำลังอยู่ในช่วงขาลง และปีหน้าคงจะเห็นภาพอย่างชัดเจน
ตลาดน้ำอัดลมยอดแย่แทบไม่โต
ในบรรดากลุ่มน้ำๆ ด้วยกัน ตลาดน้ำอัดลมก็ติดอันดับสินค้าดาวร่วง จากสภาพตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมมูลค่า 30,000 ล้านบาท ปีนี้ที่มีอัตราการเติบโตไม่มากนัก คือประมาณ 1-2% แบ่งเป็นน้ำสีมูลค่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งภาวะตลาดทรงตัว ส่วนตลาดน้ำดำมูลค่า 22,000 ล้านบาท ปีนี้เติบโต 5-6% ส่วนปีหน้าคาดว่าสภาพตลาดน้ำอัดลมโดยรวมจะไม่แตกต่างจากปีนี้มากนัก ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้ตลาดน้ำอัดลมกลายเป็นดาวร่วง เป็นเพราะเจอมรสุมกระแสสุขภาพที่มาแรง พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป สินค้าที่ขายอีโมชันนัล หรือขายความสดชื่นกลายเป็นสิ่งที่ไม่เย้ายวนเช่นเดียวกับเมื่อก่อน
น้ำเมากระอักเจอภาษี-กฎเหล็ก
ดาวร่วงในกลุ่มน้ำอีกหนึ่งตัวในปีระกา คงหนีไม้พ้นตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งเหล้าไทยและนำเข้าในปี 2548 จากตัวเลขในเชิงปริมาณ 68.2 ล้านลัง การเติบโตน้อยมาก ยกตัวอย่าง ตลาดสุราขาว 48 ล้านลัง หรือคิดเป็น 71% ของตลาดรวม สภาพตลาดทรงตัวหรือมีหดตัวลงเล็กน้อย ส่วนสุราสี 12 ล้านลัง หรือคิดเป็น 18% ของตลาดรวมโต 8-10% ซึ่งหากแบ่งเป็นตลาดสุราสีไทย (แม่โขง แสงโสม มังกรทอง) โต 10-12% แอดมิกซ์ 2.5 ล้านลัง หรือคิดเป็นสัดส่วน 4% ของตลาดรวมหดตัวลง 8-10%
ทั้งนี้ เป็นเพราะมาตรการของภาครัฐที่มีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เริ่มตั้งแต่การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ล่าสุดภาครัฐได้ร่างกฎกระทรวงกำหนดเวลาในการขายสุราร้านสะดวกซื้อและร้านค้าปลีกรายย่อย โดยจำกัดเวลาจำหน่ายจากเดิม 17.00 น.-02.00 น. มาเป็นเวลา 17.00 น.-24.00 น. นอกจากนี้ภาครัฐยังมีมาตรการห้ามผู้ประกอบการทำสื่อโฆษณาในเชิงพาณิชย์ทุกรูปแบบ โดยสามารถทำได้เฉพาะ ณ จุดขายเท่านั้น รวมทั้งการรณรงค์จากองค์กรอิสระหรือ สสส.ที่มีอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ
ชูกำลังขอเอี่ยวดาวร่วงปี 48
ค่ายชูกำลังปีนี้ก็ซบเซา และมีการทุ่มงบการตลาดน้อยลงมาก ทำให้ปีนี้ชูกำลังไม่หวือหวามากนัก เพราะด้วยสภาพตลาดเครื่องดื่มชูกำลังมูลค่า 14,000 ล้านบาท การเติบโตชะลอตัวลงหรือขยายตัวได้ไม่เกิน 5% ซึ่งเทียบเมื่อกับ 2 ปีที่ผ่านมาเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก ทำให้ปีนี้ค่ายชูกำลังไม่ค่อยออกมาเคลื่อนไหวทางการตลาดมากนัก โดยมากการแข่งขันจะมาจากการทำบีโลว์เดอะไลน์เป็นหลัก มีเพียงแต่คาราบาวแดงที่ออกตัวด้วยการเปิดคาราบาว กลิ่นวิสกี้ แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่โดนภาครัฐหรือ สคบ.เพ่งเล็ง ส่วนกระทิงแดงออกตัวโดยการปั้นกาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม กระทิงแดงขึ้นมาขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ
ปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังเติบโตน้อย เกิดจากผลพวงราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำลังการซื้อของคนลดลง อีกทั้งยังเป็นเพราะตลาดชูกำลังเริ่มอิ่มตัว โดยสังเกตว่าเริ่มนิ่งมาตั้งแต่ปลายปี 2547 แล้ว เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายหลักหรือกลุ่ม ผู้ใช้แรงงานก็มีเท่าเดิม หรือกระทั่งกลุ่มลูกค้าที่เป็นขาประจำ ส่วนใหญ่จะดื่มเฉลี่ยสัปดาห์ละ 3 ขวด ก็ไม่สามารถกระตุ้นให้ดื่มไปมากกว่านี้ได้ เพราะข้อจำกัดปริมาณการดื่ม "ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด"
สินค้าอนาคตมีแววรุ่งปี 2549
พูดถึงสินค้าดาวร่วงแห่งปี 2548 ไปแล้วพอสังเขป ก็อดจะพูดถึงสินค้าที่มีอนาคต หรืออาจจะกลายเป็นสินค้าดาวรุ่งในปี 2549 ไม่ได้ แน่นอนว่าจะต้องเป็นกลุ่มสินค้าอิงกระแสสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น สกินแคร์ อย่างพอนด์ส เริ่มปรับตัวตั้งแต่ปลายปี เปิดตัวพอนด์ส ดีทอกซ์ หรือกลุ่มแชมพู ที่เน้นจุดขายด้านสปา เป็นต้น โดยนางภรณี อึ๊งภากรณ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ โดฟ เรโซนา แอ็กซ์ และทัตนผลิตภัณฑ์ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่า ปีหน้าแนวโน้มสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงจะต้องชูโพซิชันนิงของสุขภาพเป็นหลัก เพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่จะเติบโตได้สูงอยู่ เมื่อเทียบกับโพซิชันนิงในด้านอื่นๆ ทั้งนี้เป็นเพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ ขณะที่ทิศทางในการทำตลาดของยูนิลีเวอร์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆในปีหน้าจะยังคงตอกย้ำโพซิชันนิงเพื่อสุขภาพเป็นหลัก
น้ำผลไม้ดาวรุ่งที่น้ำดำตาเป็นมัน
นายธริน คุณวิเศษกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการขายในประเทศ บริษัท มาลี เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำผลไม้ตรามาลี เปิดเผยว่า สภาพตลาดน้ำผลไม้โดยรวมมูลค่า 3,200 ล้านบาท ปีนี้มีอัตราการเติบโต 15% โดยเป็นการเติบโตจากน้ำผลไม้ 100% มูลค่า 2,000 ล้านบาท เป็นหลักถึง 18% เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ ส่วนที่เหลือ 1,200 ล้านบาท แบ่งเป็นน้ำผลไม้ 40% และน้ำผลไม้ระดับล่าง โดยตลาดน้ำผลไม้ 40% สภาพไม่เติบโต
ส่วนแนวโน้มตลาดน้ำผลไม้โดยรวมปีหน้านี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 20% ขณะที่สภาพตลาดน้ำผลไม้ทั้งระดับบน-ล่าง คงจะไม่แตกต่างจากปีนี้มากนัก โดยการเติบโตยังคงมาจากน้ำผลไม้ 100% เป็นหลัก นอกจากนี้ยังมองว่าตลาดน้ำผลไม้ 100% พาสเจอร์ จะมีเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าตลาดน้ำผลไม้ 100% แนวโน้มการเติบโตของน้ำผลไม้ที่เพิ่มขึ้น ยั่วเย้าให้ค่ายน้ำดำอย่างเป๊ปซี่ และโค้กกระโจนลงมาเล่น และพร้อมจะละเลงศึกโดยอาศัยความแข็งแกร่งด้านดิสทริบิวเตอร์ ช่วงชิงส่วนแบ่งจากผู้นำตลาด
นมถั่วเหลืองดาวรุ่งในบรรดานม
สำหรับตลาดนมถั่วเหลืองในปี 2549 คาดว่ามูลค่าตลาดนมถั่วเหลืองประมาณ 5,300 ล้านบาท ซึ่งตลาดนมถั่วเหลืองนับเป็นตลาดเครื่องดื่มที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์สูงอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ ตลาดนมถั่วเหลืองเริ่มมีสัดส่วนมากขึ้นในตลาดนมพร้อมดื่มทั้งหมด โดยปัจจุบันนมถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 50% ของมูลค่าตลาดนมพร้อมดื่มทั้งหมด จากที่เคยมีสัดส่วนเพียง 14% ในปี 2541
ขณะที่ในปี 2548 ตลาดนมถั่วเหลืองพร้อมดื่มมีอัตราการเติบโตประมาณ 23% เป็นอัตราการเติบโตสูงสุดของตลาดนมพร้อมดื่มทั้งหมด ส่งผลให้มีผู้เล่นใหม่ยักษ์ใหญ่แห่งวงการนม "โฟร์โมสต์" เปิดตัวนมถั่วเหลืองไฮไฟว์ลงสู่ตลาด หรือแม้กระทั่งค่ายน้ำดำอย่างเป๊ปซี่ก็ออกมายอมรับว่า นมถั่วเหลืองเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตและเป็นตลาดที่น่าจับตาในปีหน้านี้ และถ้าหากค่ายน้ำดำอย่างเป๊ปซี่ จะโดดลงมาเล่นตลาดนมถั่วเหลืองก็ถือว่า ไม่แปลก เพราะมีทั้งความพร้อมด้านโรงงานและกำลังการผลิต อยู่แล้ว
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรับอานิสงส์กำลังซื้อ
สำหรับตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลายเป็นดัชนีชี้วัดกำลังการซื้อของคนไทย โดยนายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปีหน้านี้ใกล้เคียงกับปีนี้ โดย พบว่าปีนี้ "ดัชนีมาม่า" พุ่งต่อเนื่องจาก 18% ในไตรมาสแรก เพิ่มเป็น 19% เมื่อสิ้นสุดไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ยังคงรักษาระดับที่ 17-18% ส่วนผลประกอบการของบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ในสิ้นปีนี้คาดว่าจะเติบโตเกินเป้าที่วางไว้จาก 10-12% เป็น 15% จากในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานี้เติบโตมาแล้ว 15% โดยปัจจุบันมาม่าเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 54-55%
ปัจจัยที่ส่งผลให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลายเป็นสินค้าดาวรุ่ง ส่วนหนึ่งเกิดจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ขณะเดียวกันอาหารและสินค้าต่างๆมีราคาแพงขึ้น ด้วยราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพียง 5 บาท กินแล้วอิ่มท้องจึงกลายเป็นสินค้าที่มีอนาคต ขณะที่ผู้ประกอบการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเอง ก็ไม่ยอมลดละความพยายามต่อสู้กับกระแสสุขภาพ อย่างปีหน้านี้จะเห็นว่ามาม่า เปิดตัวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสชาติใหม่ "โลว์แคลอรี่" ลงสู่ตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้านี้ ซึ่งจะเป็นซีรีส์ที่ 3 ของกลุ่มสินค้าอิงกระแสสุขภาพ หลังจากส่งซีรีส์แรกชาเขียวและซีรีส์สองเส้นโฮลวีต ราคา 5 บาท นำร่องปีระกาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขึ้นปีหน้าฟ้าใหม่ คงต้องมาจับตาดูว่ากลุ่มสินค้าที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นดาวร่วงแห่งปี จะขุดคัมภีร์หรือพลิกการทำตลาด เพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้อย่างไร ส่วนสินค้าที่กลายเป็นดาวรุ่งแห่งปี 2549 จะอาศัยโอกาสทองในการทำตลาดได้มากน้อยแค่ไหนปีจอนี้รู้กัน
|