ดัชนี SET ยังไม่มีวี่แววว่าจะโงหัวขึ้นมาได้หลังจากที่หลุดระดับ 600
ขณะเดียวกันก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถให้คำทำนายได้ว่า Bottom อยู่ที่ไหนดูเหมือนว่ายิ่งนานไปยิ่งถลำลึก
นักวิเคราะห์ทั้งไทยและเทศต่างมีความเห็นที่สอดคล้องกันว่า ตลาดไทยยังน่าลงทุน
ลองหันมาใช้แนวทางของบัฟเฟตต์มองหาหุ้นสักตัวที่มีพื้นฐานดี มีอนาคตสดใส
คุณจะพบว่าตลาดไทยยังมีโอกาสให้ทำกำไรงามๆ อีกมาก
แต่ที่สำคัญ ต้องลงทุนระยะยาว เพราะคราวนี้ซื้อโอกาสและอนาคตจริงๆ
เปิดศักราชปี 1997 ตลาดหุ้นไทยก็ตกอยู่ในภาวะหมีดัชนีรูดลงจากระดับ 800
จนอยู่ที่ระดับ 500 จุด และก็ยังไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้ว่าดัชนีจะถึงจุดต่ำสุดเมื่อไหร่
ที่ระดับเท่าใด และจะตีกลับขึ้นไปอีกเมื่อไหร่
หากถามถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศต่อตลาดไทยในตอนนี้ยังมีไม่มากนัก
เพราะยังมีปัจจัยหลายอย่างที่นักลงทุนกำลังจับตาดูว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่
ดังนั้นเม็ดเงินจากต่างชาติที่จะเข้ามาพยุงตลาดไทยในช่วงนี้จึงยังมีไม่มากนัก
และตลาดก็คงจะซบเซาต่อไป
ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวในเอเชียจนทำให้อัตราการเติบโตของผลกำไรลดลง นักลงทุนเริ่มหนีหน้าออกจากตลาดหุ้นเอเชีย
และเม็ดเงินที่เคยสะพัดอยู่ทั่วเอเชียก็กำลังหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ
ไจลส์ เนวิลล์ (Giles Nevile) ผู้จัดการกองทุนจากชโรเดอร์ แอสเซ็ท แมเนจเม้นต์
ลอนดอน ได้กล่าวถึงการเคลื่นไหวของตลาดหุ้นนิวยอร์กกับตลาดเกิดใหม่ว่านับตั้งแต่ปลายปี
1994 ตลาดเกิดใหม่ค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่ในอนาคตเอเชียยังมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปในระยะยาว
โดยเนวิลล์ ได้เปรียบเทียบอัตราการเติบโตของรายได้ต่อหัวของประชาชน ในประเทศเอเชียเทียบกับญี่ปุ่นในช่วงปีต่างๆ
จะเห็นว่า สิงคโปร์มีรายได้ต่อหัวเท่ากับญี่ปุ่นในช่วงปี 1987 ส่วนไทยเท่ากับญี่ปุ่นเมื่อปี
1960 ขณะที่ปี 1994 ญี่ปุ่นมีรายได้ต่อหัวประมาณ 35,000 เหรียญสหรัฐ
ปัจจุบัน ชโรเดอร์ ได้ลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชีย ละตินอเมริกา ยุโรป
ตะวันออกกลาง แอฟริกา เป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 12 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ
10% ของเงินลงทุนทั้งหมดทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชียถือเป็นตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจมาก
ซึ่งเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วนักลงทุนสามารถทำกำไรได้มากกว่าการลงทุนในตลาดเกิดใหม่แหล่งอื่นๆ
เพราะประเทศในเอเชียมีอัตราการเติบโตที่สูงมาก
สำหรับตลาดไทย ดักลาส แครนส์ (Douglas Cairns) Chief Investment Officer
นครธนชโรเดอร์ ได้ให้ทัศนะในฐานะที่ต้องรับผิดชอบการลงทุนในตลาดไทยโดยตรงว่า
นับตั้งแต่ปี 1993 อัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับตลาดรวมเอเชียทั้งหมดติดลบมาโดยตลอด
ซึ่งเมื่อปีที่แล้วผลตอบแทนติดลบ 35% ขณะที่ผลตอบแทนตลาดรวมเอเชียเพิ่มขึ้น
12% ซึ่งแครนส์ คาดว่าสถานการณ์เช่นนี้จะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงปีนี้
โดยผลตอบแทนของตลาดไทยจะติดลบ 16% เหตุผลที่ทำให้เชื่อเช่นนั้นก็คือ ภาวะทางเศรษฐกิจ
"ในปี 1996 อัตราเงินเฟ้อของไทยไม่เลวนักอยู่ที่ระดับ 5.9% ส่วนอัตราการเติบโตของจีดีพีต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ระดับ
6.9% การที่เศรษฐกิจของไทยโตอยู่ในระดับที่สูงมาตั้งแต่ปี 1989 เป็นผลให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดทะยานสูงขึ้นเมื่อเทียบกับจีดีพี
และเป็นประเทศที่มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงที่สุดในภูมิภาค โดยปี 1996
อยู่ที่ระดับ -7.9%"
ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เป็นประเด็นที่นักลงทุนต่างประเทศให้ความสำคัญและเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน
ทว่า ในความเห็นของแครนส์ มองว่าปัญหานี้มีแนวโน้มที่จะคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้เพราะการตัดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลจะส่งผลดีต่อการส่งออกให้เติบโตขึ้น
ซึ่งแครนส์คาดว่า ในปีนี้ อัตราการเติบโตของการส่งออกอยู่ที่ระดับ 7.1% ส่วนปี
1998 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 12% ส่วนการนำเข้าคาดว่าปีนี้จะอยู่ประมาณ
9.1% ปี 1998 ประมาณ 14.3% ดังนั้นการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้คาดว่าจะอยู่ประมาณ
7.2% ของจีดีพี ซึ่งถือว่ามีการปรับตัวดีขึ้น
สำหรับอัตราเงินเฟ้อ คาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 4.3% และในปี 1998 จะขยับขึ้นเล็กน้อย
4.8% แต่ทว่าอัตราดอกเบี้ย แครนส์มองว่าขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้มากนัก
เพราะไทยยังใช้นโยบายผูกสกุลเงินบาทติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐมาก (currency
peg) จะทำให้ไทยยังต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง ขณะเดียวกันปัญหาที่เกิดขึ้นกับภาคการเงินและอสังหาริมทรัพย์
ทำให้ไทยยังต้องรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยไว้สูงจนถึงภายในปีนี้ และปัจจัยที่สำคัญที่อาจจะทำให้อัตราปรับลดลงได้
ก็คือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ปรับตัวดีขึ้น
ส่วนประเด็นการลดค่าเงินบาท ซึ่งขณะนี้เป็นเหมือนพายุที่กระหน่ำตลาดหุ้นไทยไม่เว้นในแต่ละวันนั้น
แครนส์ให้ความเห็นว่า "เราเชื่อมั่นว่าไทยจะยังไม่ลดค่าเงินบาท และเราก็เชื่อในเงินสำรองต่างประเทศของไทยจำนวน
39 พันล้านเหรียญสหรัฐ แม้จะมีภัยจากหนี้ต่างประเทศจำนวน 29 พันล้านเหรียญสหรัฐ
แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้พยายามอย่างหนักที่จะต่อสู้ไม่ให้มีการลดค่าเงินบาทเหมือนอย่างที่ทุกคนกลัว
และผมก็คิดว่าจะประสบความสำเร็จ"
แมทธิว ดอบส์ (Mathew Dobbs) ผู้บริหารกองทุนอีกคนหนึ่งของชโรเดอร์ อินเวสเม้นต์
แมเนจเม้นต์ สิงคโปร์ รับผิดชอบในตำแหน่ง Regional Managing Director ซึ่งเขาได้เห็นพัฒนาการวิวัฒนาการการเติบโตของเอเชียมาตั้งแต่ปี
1985 ได้ให้เหตุผลสนับสนุนถึงความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยและเอเชียยังคงสามารถพยุงความเติบโตเอาไว้ได้
และสามารถดึงดูดนักลงทุนฯ ไว้ได้ระดับหนึ่ง
"ตลาดเอเชีย สิ่งสำคัญที่ดึงดูดใจนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุนก็คือการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีมาอย่างยาวนาน
ซึ่งหมายถึงความแข็งแกร่งที่มีมายาวนานของเอเชีย มีความสามารถในการพยุงอัตราการเติบโตไว้ได้
และตลาดหุ้นมีการพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา เอเชียประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจมาโดยตลอด
และในปี 1997 ชโรเดอร์ ได้ประมาณการว่าเอเชียจะยังคงมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง
แม้ว่าจะมีนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าปีนี้จะเป็นปีที่เศรษฐกิจของเอเชียชะลอตัว
แต่แม้จะชะลอลง ตัวเลขที่ออกมาจะยังเป็นที่น่าประทับใจซึ่งคาดว่าไทยจะเติบโตขึ้นประมาณ
6% ลดลงจากระดับเฉลี่ย 14 ปีที่อยู่ในระดับ 8.1% (1981-1995)" ขณะที่แครนส์
วิเคราะห์ว่าปี 1997 จีดีพีของไทยจะโตขึ้นประมาณ 6.7%
เหตุผลที่ทำให้ดอบส์เชื่อเช่นนั้นก็เพราะประเทศในเอเชียมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายกฎระเบียบและเปิดเสรีทั้งในเรื่องของการปฏิรูปภาษี,
ภาษีศุลกากร กฎระเบียบของภาคการเงินตลอด จนถึงการให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจของรัฐบาลและมีนโยบายทางการคลังที่รอบคอบ
นอกจากนี้ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (privatization) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญ
โดยเฉพาะในหมวดพลังงาน โทรคมนาคม และโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้จากปัจจุบันในตลาดหุ้นมาเลเซียประมาณ
40% ของมูลค่าตลาดรวมเป็นมูลค่าที่มาจากบริษัทที่มีการแปรรูปด้วยวิธีการนำเข้าจดทะเบียนในตลาด
ขณะที่อินโดนีเซียมีสัดส่วนประมาณ 5%
เนื่องจากเอเชียเป็นภูมิภาคที่มีอัตราเงินออมสูงมาก จึงทำให้ดอบส์เชื่อว่าเอเชียจะยังคงรักษาความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจไว้ได้
แม้ว่าจะมีปัญหาช่องว่างระหว่างการลงทุนและการออมอย่างเช่นไทย ที่มีปัญหาแต่ต้นเหตุมาจากการลงทุนที่มีมูลค่ามหาศาล
และมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เงินออมภายในประเทศไม่เพียงพอกับการลงทุน
"ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเอเชียมีพัฒนาการการเติบโตอย่างรวดเร็วมากจะเห็นได้จากจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น
และมาร์เก็ตแคปที่โตขึ้นทุกขณะ ซึ่งก็มีโอกาสที่จะทำเงินและสูญเสียเงินจำนวนมากในเวลาเดียวกัน"
สำหรับอัตราการเติบโตของผลกำไรในตลาดหุ้นไทยเมื่อปี 1996 ที่ผ่านมา ได้สร้างความผิดหวังแก่นักลงทุนเป็นอันมาก
เพราะอัตราส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) ลดลงมากกว่า 20% และในปี 1997 แครนส์ วิเคราะห์ว่าหมวดธนาคาร
และเงินทุนหลักทรัพย์จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทำให้อัตราการเติบโตต่ำลงมากซึ่งเชื่อว่าจะต่ำกว่า
10% เช่นเดียวกับหมวดอสังหาริมทรัพย์ ที่ประสบกับปัญหาสินค้าล้นตลาดจนส่งผลให้เกิดปัญหาการชำระหนี้และกระแสเงินสด
และลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่จนรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยแก้ไข ซึ่งจากปัญหานี้ทำให้หุ้นในหมวดนี้มีกำไรลดลงถึง
40% และมีอัตราการเติบโตติดลบ แต่เมื่อมองภาพรวมของทั้งตลาดในปี 1997 นี้ผลกำไรทั้งตลาดจะลดลงติดลบ
5% แต่ในปี 1998 จะฟื้นตัวขึ้นประมาณ 15%
"เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วจะเห็นว่าในปีนี้ตลาดหุ้นไทยได้ลงมาต่ำสุดในรอบ
10 ปี โดยพีอีตลาดจะอยู่ที่ระดับ 12.5 เท่าในปีหน้าหากตลาดโต 15% ก็เป็นเรื่องที่ดีขึ้นและน่าสนใจ
หากถามถึงความมั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศในตอนนี้มีไม่มากนัก เราเชื่อว่าในระยะสั้นตลาดไทยจะยังมีความเสี่ยงคือ
ตลาดมีความผันผวน ขณะที่ในระยะยาวเรามองเห็นโอกาส"
สำหรับหุ้นที่ชโรเดอร์มอง เพื่อการลงทุน นั้นจะเป็นหุ้นหลักๆ ที่มีพื้นฐานดีมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอีก
2-3 ปีข้างหน้า มีระบบการบริหารงานที่มีคุณภาพ มีสาขา หรือเครือข่ายภายในประเทศที่แข็งแรง
และที่สำคัญ คือสามารถพยุงตัวเองได้ภาวะที่เศรษฐกิจมีปัญหา นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่มิใช่หุ้นหลัก
แต่จะเป็นหุ้นที่มีศักยภาพที่จะฟื้นตัวหลังจากที่ได้รับความบอบช้ำจากเศรษฐกิจถดถอย
และเป็นหุ้นที่มีการปรับเปลี่ยนหรือ restructure ตนเองให้สามารถอยู่รอดได้ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้
แต่ key factor ที่ชโรเดอร์ถือเป็นเป้าหมายในการลงทุนก็คือความสม่ำเสมอของผลประกอบการ
(consistency of performance)
เสียงสะท้อนจากโบรกเกอร์ไทย
จากภาวะตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ที่กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำสุดขีด ทั้งดัชนีและปริมาณการซื้อขายลดลงอย่างมาก
ซึ่งหากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงดัชนีหุ้นดังกล่าวในรอบระยะ 1 ปีที่ผ่านมาพบว่าดัชนีได้ปรับตัวลดลงมากกว่า
50% แล้ว ในขณะที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีมูลค่าเพียงประมาณ
3,800 ล้านบาทต่อวัน หรือลดลงประมาณ 29% เมื่อเทียบจากปีก่อน แล้วอะไรคือปัญหาที่แท้จริงที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเลวร้ายเช่นนี้
ในมุมมองของนักวิเคราะห์ที่มีความใกล้ชิดกับตลาดมากที่สุด
จากการสัมภาษณ์นักเศรษฐศาสตร์หลายๆ ท่านของศูนย์วิจัยกสิกรไทย คำตอบที่ปรากฏออกมาต่างมองว่า
ความตกต่ำอย่างรุนแรงของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันเกิดจากภาวะฟองสบู่แตก (bubble
burst) หรือการที่ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นราคาหุ้น หรือราคาอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งได้พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล และเกินกว่าที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สามารถรองรับไว้ได้มากจนในที่สุดเมื่อความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจถูกกระทบกระเทือน
ราคาของสินทรัพย์ที่สูงเกินกว่าที่ควรจะเป็นเหล่านั้น ได้ก่อให้เกิดปัญหาสภาพคล่องแก่ผู้ที่ลงทุนรวมไปถึงสถาบันการเงินที่ได้ปล่อยกู้เงิน
เพื่อซื้อสินทรัพย์เหล่านั้นต้องประสบปัญหาคุณภาพของหนี้สินหรือสินทรัพย์
เช่น หุ้น มีการปรับตัวลงของราคาอย่างรวดเร็ว ซึ่งสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง
และความวิตกกังวลต่อแนวโน้มของธุรกิจและเศรษฐกิจ
แล้วราคาหุ้นจะตกต่ำไปอีกถึงไหน? คำถามง่ายๆ ที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ซึ่งจากการที่
"ผู้จัดการรายเดือน" ได้สัมภาษณ์บรรดานักวิเคราะห์ไทยหลายๆ ค่ายต่างให้คำตอบในแนวทางเดียวกันว่า
"ขณะนี้นักวิเคราะห์ไม่ว่าใครที่ไหนก็ไม่กล้าคาดการณ์ว่าราคาหุ้นลงมาต่ำสุดหรือยัง
เพราะเราไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กระทบราคาหุ้นจะตอบสนองไปเพียงพอแล้วหรือไม่ รวมทั้งเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเมื่อไหร่"
เพราะสภาวะเศรษฐกิจคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นซบเซา ซึ่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะส่งผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน
คือ มีผลการดำเนินงานลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบันบางบริษัทขาดทุนและต้องขอเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งความเสียหายก็ตกแก่นักลงทุน
แล้วคำถามต่อมา คือ ถ้านักลงทุนจะเข้าไปเล่นหุ้นจะเข้าไปเล่นได้หรือไม่
ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างก็ให้คำตอบว่าถ้าเป็นนักลงทุนระยะยาวแล้วสามารถเข้าไปเล่นได้
แต่ถ้าเป็นนักลงทุนในระยะสั้นไม่ควรจะเข้าไปเล่นเพราะอาจจะเจ็บตัว เพราะตราบใดที่สภาพคล่องในตลาดติดขัด
กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
"ควรจะเข้าไปลงทุนตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เพราะปัจจุบันราคาหุ้นหลายๆ ตัวปรับลงมามากแล้ว
ดูได้จาก book value หรือ p/e ratio ถือว่าต่ำสุดในรอบหลายๆ ปี ซึ่งแน่นอนปีนี้จะไม่เห็นผลตอบแทนที่จะกลับมาในรูปเงินปันผลหรือ
capital gain ในอัตราสูงเหมือนในอดีต แต่พวกเราเชื่อว่าปีหน้าหรืออีก 2 ปีข้างหน้า
เมื่อภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ก็จะดีตามไปด้วย"
อย่างไรก็ตามความหวังที่จะเข้าไปลงทุนแล้วได้กำไรกลับมาแบบง่ายๆ นั้นคงจะเป็นไปได้ยาก
โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มยอดฮิตอย่างแบงก์ ไฟแนนซ์ เพราะหุ้น 2 กลุ่มนี้ดูจะมีปัญหาที่สุด
อันเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
"ในกลุ่มแบงก์มีหลายๆ แบงก์ที่ราคาได้ปรับตัวลงมามากแล้ว และสามารถเข้าไปลงทุนได้
นอกจากนี้กลุ่มที่น่าลงทุน ได้แก่พลังงาน ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มบันเทิง"
BBL เป็นหุ้นที่ได้รับการแนะนำมากที่สุด ส่วนกลุ่มพลังงานแม้ว่าราคายังแพงอยู่แต่หุ้นที่น่าลงทุน
ได้แก่ COCO. PTTEP. LANNA ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่น่าลงทุนมี
KRP. HANA แต่นักวิเคราะห์มองกลุ่มนี้ว่า ยังมีความเสี่ยงอยู่ เพราะสภาพคล่องไม่ค่อยมี
"ถึงแม้ว่าสภาพตลาดหุ้นจะไม่ดี แต่การลงทุนก็ยังมีอยู่ ถ้าเราเลือกลงทุนให้ถูกต้อง
ดังนั้นถ้าจะลงทุนจะต้องดูแนวโน้มอุตสาหกรรมว่าดีหรือไม่แล้วค่อยมาดูหุ้นว่าเป็นอย่างไร"
อย่างไรก็ตามหากเปรียบความน่าสนใจของตลาดไทยกับตลาดอื่นๆ ในเอเชีย นักวิเคราะห์ต่างเห็นว่า
ตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่น่าลงทุนไม่แพ้ตลาดหุ้นอื่นๆ แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะไม่ได้เป็นดาวเด่นเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
เพราะว่าดาวเด่นได้ไปอยู่ที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของ
2 ประเทศนี้ยังอยู่ในอัตราที่สูง แต่ถ้าเทียบตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นมาเลเซียและสิงคโปร์ซึ่งกำลังประสบกับภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกัน
โดยมาเลเซียเองในปัจจุบันภาคอสังหาริมทรัพย์ก็เริ่มประสบปัญหา แม้ว่าในอดีตมาเลเซียจะเป็นตลาดหุ้นที่ดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศได้มาก
ส่วนตลาดสิงคโปร์ ปัจจุบันก็มีปัญหาเรื่องการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกที่ไม่ใช่น้ำมัน
รวมทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง
ปัจจัยที่ไทยมีความได้เปรียบเหนือมาเลเซีย และสิงคโปร์ ก็คือเรื่อง curency
peg เพราะเงินบาทไทยแม้จะผูกติดอยู่กับดอลลาร์สหรัฐแต่ก็เป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าทั้งสองประเทศ
ดังนั้น เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวหรือแข็งตัวค่าเงินบาทจะได้รับกระทบน้อยกว่าค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์
และริงกิตมาเลเซีย
"ดังนั้นถ้าเทียบกับ 2 ตลาดนี้ตลาดหุ้นบ้านเราจะได้เปรียบตรงที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงมาลึกแล้วจึงมีความน่าสนใจกว่า
แต่ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวก็ยังเป็นคำถามที่ต้องมานั่งคิดดูว่า
ในภาวะที่มีการชะลอตัวเหมือนๆ กันและใครจะฟื้นตัวได้เร็วกว่ากัน"
เห็นทีปีนี้คงจะเป็นปีที่ต้องทยอยเก็บเพื่อรอผลตอบแทนในวัน(ปี)หน้าเผื่อฟ้าจะใสมากกว่านี้
และหากท่านใดที่ต้องการจะฝึกฝนกลยุทธ์การลงทุนที่เฉียบคมมากกว่านี้เพื่อเอาชนะตลาด
ลองหาอ่านหนังสือแกะรอยเซียนหุ้นวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เขาสามารถทำกำไรจากการเล่นหุ้นจนกลายเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับในอเมริกา
เพราะปรัชญาการลงทุนของเขาคือ ซื้อธุรกิจในอนาคต มิใช่เก็งกำไรตัวเลขของหุ้นบนกระดาน….