Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2540
เฉลิมชัย ธีระกุลเหนื่อยแต่ท้าทายในฮาเกน-ดาส             
 


   
search resources

เฉลิมชัย ธีระกุล
Food and Beverage




หน้าร้อนอย่างนี้ดูเหมือนไอศกรีมจะเป็นที่พึ่งของคนส่วนใหญ่ไปโดยปริยายา บรรดาไอศกรีมยี่ห้อต่างๆ จึงระดมยิงโฆษณาบนหน้านิตยสารชั้นนำและหน้าจอโทรทัศน์อย่างดุเดือดร้อนแรงไม่แพ้อากาศทีเดียว

แม้ว่าการแข่งขันเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้ แต่เฉลิมชัย ธีระกุลกรรมการผู้จัดการใหม่หมาดๆ ก็ยังมองว่าเป็นสิ่งท้าทายที่อยากทำให้เป้าหมายของบริษัทสำเร็จให้จงได้

เฉลิมชัยเข้ามาดูแลไอศกรีมฮาเกน-ดาสเมื่อต้นปีนี้ ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของ บริษัทเอชดี ดิสทริบิวเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด การเข้ามาของเขาเสมือนเป็นการรับช่วงบริหารงานต่อจาก ประเวศวุฒิ ไรวา ประธานกรรมการ ที่บุกเบิกตั้งบริษัทมาตั้งแต่ต้นและกล่าวว่าถึงเวลาที่ต้องหามืออาชีพเข้ามาสานงานและบุกขยายต่อไป

แม้เฉลิมชัยจะกล่าวว่าไม่มีคำสั่งพิเศษจากผู้บริหารระดับสูงเมื่อเข้ารับตำแหน่งนี้ แต่โดยหน้าที่ของเขาแล้วในฐานะผู้บริหารก็ต้องรับผิดชอบผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทเป็นธรรมดาทั้งในแง่ยอดขายและผลกำไร และเพื่อจะให้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้นั้นสิ่งที่ต้องทำก็มีมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนเรื่องการวางแผนการตลาด การขาย หรือการขนส่ง ฯลฯ

เป้าหมายที่เขาตั้งให้กับตัวเองและบริษัทคือยอดขายในปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท หรือโตขึ้น 25-30% จากปีที่แล้ว ซึ่งเฉลิมชัยยอมรับว่าเป็นตัวเลขที่สูงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และเมื่อเทียบกับการเติบโตของตลาดไอศกรีมโดยรวมที่โตประมาณ 15% ต่อปี ด้วยมูลค่าตลาด 3,600 ล้านบาท หรือในตลาดพรีเมียมที่โตประมาณ 15-20% ด้วยมูลค่าตลาด 700 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามดูเหมือนเฉลิมชัยไม่ค่อยกังวลใจเท่าไรนัก เพราะไอศกรีมตลาดพรีเมียมอย่างฮาเกน-ดาส ที่เน้นคุณภาพเป็นหลัก แม้ภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่แผลงฤทธิ์เอากับธุรกิจอื่นแต่แทบจะไม่กระทบต่อสินค้าตัวนี้เลย

"จะมีบ้างก็เป็นด้านการลงทุนใหญ่ๆ โตๆ ทางด้านการเงินการลงทุนขยายร้าน เราก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ" เขากล่าว

นอกจากการระวังในเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายและการลงทุนแล้ว งานสำคัญของเฉลิมชัยอีกประการ คือการพยายามสร้างวัฒนธรรมในองค์กร ให้เป็นวัฒนธรรมเฉพาะของฮาเกน-ดาสในประเทศไทย เนื่องจากยังเป็นบริษัทใหม่ระบบต่างๆ อาจจะไม่ลงตัวเท่าที่ควร และบุคลากรยังเป็นคนรุ่นหนุ่มสาวด้วยกันทั้งนั้น การพัฒนาปรับปรุงต่างๆ จึงไม่ได้เป็นเรื่องที่ลำบากนัก สำหรับเฉลิมชัยด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างโชกโชน

เฉลิมชัยพะยี่ห้อ "มืออาชีพ+ชอบงานท้าทาย"

ก่อนหน้าที่เฉลิมชัยจะมายืนอยู่จุดนี้ได้นั้น เขาเริ่มเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากต่างประเทศเป็นหลักนับตั้งแต่จบมัธยมต้นจากอัสสัมชัญบางรักแล้วก็ไปต่อไฮสกูลที่ แคนซัส ณ Mourhill Prep. School และปริญญาตรีทางด้าน Economic Business Admin. ที่โทมัส มัวร์คอลเลจแห่งมหาวิทยาลัยที่รัฐแคนตั๊กกี้ จากนั้นจึงทำปริญญาโทต่อทางด้านธุรกิจระหว่างประเทศในรัฐฟลอริด้า

กลับมาเมืองไทยเริ่มงานครั้งแรกที่บริษัท P&G สมัยแรกๆ ตั้งแต่ P&G เข้ามาเทกโอเวอร์ริชาร์ดเอลลิส โดยเข้ามาทำเป็นตำแหน่ง Management Trainee และมีโอกาสได้ไปเทรนที่สิงคโปร์รวม 3 เดือน ตำแหน่งสุดท้ายทำงานด้าน sale promotion manager ดูแลทุกสินค้าของ P&G

หลังจากที่อยู่ได้ 6 ปี ก็ออกมาอยู่ที่ดีทแฮล์ม ในตำแหน่งดีพาร์ทเม้นท์ แมเนเจอร์ ดูแลแผนกสินค้าอุปโภคบริโภค (CPD) ที่นั่นจะเป็นดิสทริบิวเตอร์ดูแลสินค้า 3 รายการได้แก่ สินค้าประเภทโลชั่น และครีมต่างๆ เช่น นีเวีย, คิมเบอร์ลี่-คล๊าค ตอนนั้นยังไม่ดึงไปทำเอง ดูแลผ้าอ้อมเด็ก กระดาษทิชชูเดลซี่และสก็อตต์ที่เทกโอเวอร์มาได้ สินค้าอีกประเภทคือ วอเนอร์-แลมเบิท ดูสินค้าลิสเตอร์รีน และหลังจากที่ทำดีทแฮล์มได้เพียงปีเดียว เฉลิมชัยก็เปลี่ยนงานเนื่องจากได้สิ่งที่ท้าทายมากกว่าที่ดูราเซลล์

บริษัท ดูราเซลล์ (ประเทศไทย) ซึ่งจำหน่ายถ่านและแบตเตอรี่ ที่นี่เฉลิมชัยอยู่ถึง 3 ปีเศษ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด และที่นี่เขาก็ได้มีโอกาสสร้างผลงานด้วยการก่อตั้งบ.ดูราเซลล์ (ประเทศไทย) ขึ้นมาเมื่อประมาณปี'36 ตามนโยบายของบริษัทแม่เพื่อดึงงานทุกอย่างมาทำเอง

"เพราะตั้งแต่แรกเราให้อินช์เคปเป็นคนขายให้เรา แต่ตัวผมเองเป็นคนวางแผนในแง่การตลาดและฝ่ายขาย ผมดึงมาทำเองปีสุดท้าย ซึ่งตอนนั้นดูราเซลล์มีผมคนเดียว พอมาขายเองเราก็ต้องหาออฟฟิศเอง จ้างคนใหม่หมด จัดระบบบริหารงานภายใน แต่พอเริ่มและขายได้สัก 7-8 เดือน ทางเมืองนอกก็มีข่าวมาว่ายิลเล็ตเทกโอเวอร์ไป ผมจึงมองหาที่ใหม่เพราะไม่อยากทำงานกับบริษัทใหญ่ซึ่งเคยทำมาแล้วอีก" เฉลิมชัยกล่าว

แชร์ 12% ต้องทำให้ได้

เมื่อไม่อยู่ที่เก่า และกำลังมองหาที่ใหม่ประกอบกับความเป็นมืออาชีพที่พิสูจน์มาพอสมควร เขาจึงได้งานใหม่ที่ท้าทายสมใจโดยผ่านทางเฮดฮันเตอร์ที่เข้ามาช่วยติดต่อให้ ซึ่งเป้าหมายที่เขาต้องรับผิดชอบไม่ว่าเรื่องยอดขาดและการปรับวัฒนธรรมองค์กรนั้น สรุปแล้วคือการให้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดในสัดส่วน 12% จากเดิมอยู่ที่ 10% นั่นเอง

ทั้งนี้การจะไปถึงจุดนั้นได้ก็มีสิ่งที่ต้องทำระหว่างทางมากพอสมควร งานที่ทำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วอย่างการออกไปซุ่มให้ลูกค้าลองชิมไอศกรีมเพื่อหารสชาติที่เหมาะสมกับคนไทยก็ยังทำต่อไป ซึ่งเป็นขั้นตอนก่อนที่จะนำไปยื่นขออนุญาตจากองค์การอาหารและยา ติดฉลาก "อย." เพื่อสั่งเข้ามาขายได้ จากนั้นก็มาถึงเรื่องการคิดแบบเมนูเพื่อให้ดูน่ารับประทาน ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่ส่วนประกอบที่ต้องให้เข้ากับคนไทยด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันเชฟ 4 คนเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสวยงามบนจานไอศกรีมที่ทำมาให้เห็นกันอยู่ ซึ่งเขาเหล่านี้มีหน้าที่คิดเมนูใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลาและต้องเปลี่ยนใหม่ทุกปี โดยแนวคิดสำหรับปีนี้ของฮาเกน-ดาสคือ "คุณชอบทานฮาเกน-ดาสในเวลาไหน" สื่อผ่านทางลูกค้าวีไอพี 3 รายที่มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้

ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายนั้นไม่จำกัดอยู่เพียง 7 ร้านและ 220 จุดขายเท่านั้น การสร้างร้านขนาดเล็กแบบ KIOSK อีก 4-5 ร้านก็จะตามมา แม้ยังไม่ยืนยันว่าจะลงที่ไหน แต่จะเป็นในเขตกรุงเทพฯเท่านั้นเพราะปัจจุบันความเป็นกรุงเทพฯก็ขยายออกไปทุกที

"จุดจำหน่ายประมาณ 220 จุดแห่งตามสรรพสินค้าดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ตามร้านอาหาร และก็โรงแรมใหญ่ๆ ทั่วไป แต่มีหลายแห่งที่เรายังไม่เข้าไปอย่างไฮเปอร์มาร์ท คงต้องขยายต่อแต่ต้องดูสถานที่เป็นปัจจัยเหลัก เพราะเราก็มีเงื่อนไขว่าเราต้องไปตั้งตู้และมีปลั๊กไฟของเราเอง" เฉลิมชัยกล่าว

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะวางจุดขาย สร้างแบบคีออสหรือสร้างเป็นร้านเต็มรูปแบบ องค์ประกอบสำคัญที่ต้องพิจารณาคือทำเลที่ตั้งซึ่งต้องอยู่ในเขตที่มีผู้คนมากพอสมควรและตรงกับกลุ่มเป้าหมายคือ ระดับ B ขึ้นไปเป็นหลักในระยะแรก

เฉลิมชัยเชื่อว่าในปัจจุบันคนไทยเริ่มรู้จักตลาดไอศกรีมพรีเมียมมากขึ้นและที่ผ่านมาตลาดพรีเมียมดูจะโตสูงกว่าตลาดรวมด้วยซ้ำ เพราะว่าไอศกรีมกลุ่มนี้เพิ่งเข้ามาทำตลาดได้ไม่นาน และคนที่อยู่ในเมืองหลวงหรือหัวเมืองใหญ่ก็ต้องการคุณภาพของสินค้าที่ดี

อย่างฮาเกน-ดาสที่มาจากธรรมชาติ 100% และรักษาอุณหภูมิที่ -26 C ตลอดเวลาตั้งแต่อเมริกามาถึงเมืองไทย รวมถึงคุณสมบัติที่ไม่มีช่องอากาศในเนื้อไอศกรีมทำให้น้ำหนักคงที่ตลอด สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ฮาเกน-ดาสเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ

"สิ่งนี้คือที่จะต้องสื่อออกไปให้ลูกค้าได้รับรู้ แทนที่จะมาเน้นเรื่องราคาที่แพง เพราะสินค้าเดี๋ยวนี้พรีเมียมเยอะแยะเลยไม่ว่าจะเป็นแชมพูหรือโลชั่นก็แพงๆ ทั้งนั้น" เฉลิมชัยกล่าว

ทั้งนี้เพื่อให้ตรงกับคอนเซ็ปต์ของสินค้าระดับพรีเมียมอย่าง ฮาเกน-ดาสนั่นเอง ซึ่งตรงจุดนี้เฉลิมชัยก็ยังมีเกร็ดเล็กๆ อีกว่าอันที่จริงไอศกรีมฮาเกน-ดาสต้องอยู่ในตลาดซุปเปอร์พรีเมียม แต่เนื่องจากที่ผ่านมาเมืองไทยยังไม่ได้แยกย่อยขนาดนั้นจึงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับไอศกรีมพรีเมียมทั่วไป จุดนี้จึงต้องทำความเข้าใจกันต่อไปด้วยเช่นกัน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us