ทีอาร์ซีฯ เทรดวันแรกต่ำกว่าราคาจอง 28 สตางค์ หรือลดลง 16.47% ผู้บริหารแจงหุ้นเปิดตลาดไม่สดใส เป็นเรื่องปกติของราคาหุ้น แต่มั่นใจผลงานดี และเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จะสะท้อนต่อราคาหุ้นในอนาคต เผยปีหน้าทั้งรายได้และกำไรเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% พร้อมเตรียมเข้าประมูลงานอีก 5 โครงการวงเงินกว่า 2 พันล้านบาทและลุยงานเมกะโปรเจกต์

วานนี้ ( 22 ธันวาคม) หุ้น TRC ของ บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)(TRC) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai เป็นวันแรก พบว่าราคาหุ้นเปิดตลาดมาที่ระดับ 1.72 บาท สูงกว่าราคาจองที่ 1.70 บาท ก่อนที่ราคาจะทะยานไปสูงสุดของ วันที่ 1.74 บาท และต่ำสุดที่ราคา 1.41 บาท ก่อนกลับมาปิดที่ราคา 1.42 บาท ลดลง 0.28 บาท คิดเป็น 16.47 % มูลค่าซื้อขาย 43.83 ล้านบาท
นายไพฑูรย์ โกสียรักษ์วงศ์ บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (TRC) กล่าวถึงการที่หุ้น TRC เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai เป็นวันแรกว่าแม้ว่าหลังจากหุ้นเปิดเทรดแล้ว ซึ่งพบว่าราคาจะปรับตัวลดลงต่ำกว่าจองที่ 1.70 บาท แต่โดยส่วนตัวก็ยังมีความพอใจ โดยธรรม-ชาติของราคาหุ้นก็ต้องมีการปรับขึ้นหรือลง แต่เชื่อว่าต่อไปราคาหุ้นคงปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ และคงเป็นไปตามภาวะตลาดในช่วงนี้ที่หุ้นน้องใหม่เข้าเทรดหลายตัวพบว่าราคาต่ำกว่าจอง แต่หลังจากผ่านช่วงนี้ไปสักระยะหนึ่ง เชื่อว่าราคาหุ้นจะปรับขึ้นมาอยู่ในระดับที่ดีตามปัจจัยพื้นฐาน

"เท่าที่ดูราคาหุ้นในอัตรานี้ก็พอใจ เพราะราคาหุ้นก็ต้องมีขึ้นลง และเชื่อว่านักลงทุนจะเข้าใจในหุ้นเรา แม้ว่าเราจะเป็นหุ้นเล็กที่สุดที่เข้าเทรด ในวันนี้ ซึ่งเทรดวันแรกถึง 3 ตัว แต่หุ้น เล็กก็มีข้อดีที่เติบโตได้ดีกว่าบริษัทใหญ่ๆ ซึ่งปีนี้ก็คาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 500 ล้านบาท ส่วนจะโตไปเป็นอยู่ในระดับ 1 พันล้านบาทนั้นไม่ยาก ซึ่งเราจะเติบโตต่อเนื่อง" นายไพฑูรย์กล่าว

นายไพฑูรย์ กล่าวเพิ่มว่า ขณะนี้ TRC อยู่ในระหว่างที่จะยื่นประมูลโครงการใหม่อีก 4-5 โครงการ มูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท หลังต้องติดตามงานเพื่อการยื่นประกวดราคาอีก 5 โครงการ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทเช่นกัน ทั้งงานที่ไปยื่นเองและร่วมกับพันธมิตร โดยงานหลายอย่างก็อิงกับโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐด้วย ทำให้ TRC คาดว่าระดับของการเติบโตของรายได้จะพุ่งขึ้นไปที่หลัก 1 ล้านบาทได้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งมั่นใจว่าอัตราการเติบโตของรายได้ของบริษัทจะต่อเนื่องไป ส่วนหนึ่งเพราะการที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากขึ้น และมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย

"ผลการดำเนินงานในปีนี้ของเราก็น่าจะออกมาดี เพราะ 9 เดือนบริษัทมีรายได้ 346 ล้านบาท และผมเชื่อว่ารายได้ทั้งปีเราน่าจะได้ถึง 500 ล้านบาท เพราะไตรมาสสุดท้ายของเราก็จะออกมาดีด้วย ส่วนปี 49 คาดว่ารายได้และกำไรจะเติบโตในระดับ 20% จากปีนี้ และรายได้มาจากงานภาครัฐและเอกชนอย่างละ 50%" นายไพฑูรย์กล่าว

อย่างไรก็ตาม TRC ยังสนใจที่จะเข้าไปบิดงานประมูลในเรื่องของการท่อส่งน้ำที่โครงการรัฐหลายแห่งต้องใช้ระบบนี้ซึ่งมีมูลค่าเป็นแสนล้านบาท ตลอดจนการเข้าบิดงานการ แปรรูปขยะให้เป็นพลังงาน ลดผลกระทบที่จะเกิดต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งลูกค้ารายใหญ่ของ TRC คือบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) และบริษัทที่ทำธุรกิจพลังงาน ตลอดจนโรงงานปิโตรเคมีต่างๆ ด้วย

ปัจจุบัน TRC ยังมีงานที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ที่ยังไม่ได้ส่งมอบของ บริษัทฯ อีก 9 โครงการ รวมมูลค่างานทั้งสิ้น 927.02 ล้านบาท มีมูลค่างานที่คงค้างทั้งหมดจำนวน 636.21 ล้านบาท ซึ่งโครงการใหญ่ๆ ได้แก่ โครงการ WS Recovery Boiler (โครงการเปลี่ยนของเสียเป็นพลังงานไอน้ำ) ที่มีมูลค่างานประมาณ 515 ล้านบาท โครงการ Knock-out Drum Phase II (โครงการก่อสร้างระบบท่อคู่ขนานในโรงแยกก๊าซธรรมชาติ) ที่มีมูลค่างานประมาณ 127 ล้านบาท และโครงการรับเหมาช่วงต่อของโครงการท่อก๊าซวังน้อย-แก่งคอย มูลค่างาน 220 ล้านบาท จากกิจการร่วมค้า CPP-TRC โดยธุรกิจท่อแก๊สนั้น มีกรอสมาร์จิ้นอยู่ที่ 15-20% ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับงานด้วย

สำหรับการลงทุนของ TRC นั้น ส่วนหนึ่งจะมาจากการดำเนินงานและจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ ที่จะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E RATIO) ของบริษัทจากเดิมอยู่ที่ 0.49 เท่า เพิ่มเป็น 1.27 เท่า

นายสมจินต์ ศรไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การที่ราคาหุ้น TRC ต่ำกว่าจองนั้น ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้ตั้งราคาจองที่ให้ส่วนลด และอาจเพราะนักลงทุนเริ่มพักการซื้อขายในช่วงจะสิ้นปี รวมทั้งปัจจัยภายนอกมากระทบ จึงส่งผลต่อราคาหุ้นวานนี้ได้ แต่เชื่อว่าหุ้นนี้ เป็นหุ้นที่มีอนาคต เพราะผลการดำเนิน งานต่อเนื่อง เชื่อว่าจะสะท้อนราคาที่แท้จริงของหุ้นออกมาได้ในที่สุด