อนุมัติแล้ว บง.สินเอเซีย กับ บง.จีอี มันนี่ เป็นแบงก์ ขณะที่ บค.ไทยเคหะอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดย สศค. "ทนง" เผยนโยบายสถาบันการเงินเน้นเสถียรภาพ เป็นหลัก ไม่ห่วงแบงก์เล็ก ส่วนแบงก์ใหญ่ที่ให้บริการครบวงจรต้องมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่งแข่งขันกับแบงก์ต่างชาติได้ ชี้แนวโน้มดอกเบี้ยเป็นไปตามทิศทางเฟด

นายทนง พิทยะ รมว.คลัง เปิดเผยว่า วานนี้ (22 ธ.ค.) ได้เซ็นอนุมัติใบอนุญาตธนาคารพาณิชย์ 2 ราย คือ บริษัทเงินทุน (บง.) จีอี มันนี่ กับ บง.สินเอเซีย (ACL) โดย บง. สินเอเซียจะเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ ส่วนจีอีฯเป็นธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย (ธย.) สำหรับบริษัทเครดิต ฟองซิเอร์ (บค.) ไทยเคหะ และ บง.เอไอจี ไฟแนนซ์ ตามข่าว ที่ระบุว่าขอเป็นธนาคารเพื่อรายย่อยด้วยนั้น ขณะนี้ยังไม่มีหนังสือขออนุญาตมาที่ตนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากมีการเสนอมาคงไม่มีปัญหา เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้พิจารณา เรียบร้อยแล้ว

แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยความคืบหน้าของสถาบันการเงินอีก 2 รายข้างต้นว่า บง. เอไอจี ไฟแนนซ์ ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ ธปท. ส่วน บค.ไทยเคหะ ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจ การคลัง (สศค.) กำลังตรวจสอบ

รมว.คลังยังกล่าวถึงนโยบายสถาบันการเงินว่า จะให้ความสำคัญกับเสถียรภาพและความมั่นคงเป็นหลัก ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่จำเป็นต้องมีขนาดสินทรัพย์และเงินกองทุนที่มากพอส่วนธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กหรือธนาคารเพื่อ รายย่อยคงไม่มีปัญหา
"แบงก์ที่เรียกตัวเองว่าแบงก์ครบวงจร (Universal Banking) หรือแบงก์ใหญ่ทั้งหลายอาจมีแค่ 5 แห่งก็เพียงพอ แต่ต้องมีขนาดที่ใหญ่พอที่จะแข่งขันกับต่างชาติ พร้อมทั้งสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ"นายทนงกล่าว

นายพิริยะ วิเศษจินดา ประธานจีอีฯ กล่าวว่า ต้องการเป็นหนึ่งในผู้นำบริการทางการเงินสำหรับ ผู้บริโภคไทย โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายและครอบคลุมความต้องการของลูกค้าในกลุ่มต่างๆ ประกอบด้วย สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต และสินเชื่อเพื่อการซื้อสินค้าแบบผ่อนชำระ

โดยช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 ธุรกิจของ จีอี มันนี่ ในไทย เติบโตโดยรวมประมาณร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีพอร์ตสินเชื่อ 145,000 ล้านบาท ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์เป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 65 ของพอร์ตสินเชื่อโดยรวม อีกร้อยละ 35 เป็นธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อเพื่อการซื้อสินค้าแบบผ่อนชำระ มีลูกค้ากว่า 3 ล้านรายในปัจจุบัน ชี้ดอกเบี้ยไทยปรับตามเฟด

นายทนงเปิดเผยทิศทางอัตราดอกเบี้ยว่า ดอกเบี้ยนโยบายจะปรับตัวตามการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เนื่องจากที่ผ่านมาการที่ดอกเบี้ยไทยเกาะติดแต่ต่ำกว่าดอกเบี้ยสหรัฐ สามารถดึงเงินทุนต่างประเทศเข้ามาโดยไม่ผันผวน ดังนั้นจำเป็นต้องรักษาระยะห่างดังกล่าวต่อไปเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน

สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่เหมาะสมคือระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ หรืออยู่ที่ 4% หากดอกเบี้ยเงินฝากตามเงินเฟ้อทัน ส่วนต่างหรือสเปรดดอกเบี้ยก็จะไม่สูงเกินไป

"ปีหน้าดอกเบี้ยเงินกู้ไม่น่าจะเกิน 8% อย่างไรก็ตาม ความกดดันในเรื่องดอกเบี้ยคงลดลง เนื่องจากปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ดีขึ้น การปรับขึ้นของดอกเบี้ยก็คงไม่กระทบเอ็นพีแอลเหมือนที่ผ่านมา" รมว.คลังกล่าวและเชื่อว่า ธปท.สามารถดูแลนโยบายดอกเบี้ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ