บลจ.บีทีปลื้ม ลุยธุรกิจกองทุนรวม 6 เดือน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิพุ่งกว่า 5,000 ล้านบาท ทั้งจากกองทุนหุ้น ตราสารหนี้ LTF และ RMF พร้อมได้กองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากแบงก์แม่หนุน ดันเอ็นเอวีรวม 27,000 ล้านบาท "อนุสรณ์" เผยครึ่งแรกปีหน้าเตรียมส่งกองทุนลุยตลาดต่ออีก 7-8 กองทุน
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บลจ.บีทีเปิดตัวไปในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และดำเนินธุรกิจผ่านไป 6 เดือน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี) สำหรับกองทุนรวมเพิ่มขึ้นมาประมาณ 5,000 ล้านบาท จากกองทุนที่เปิดขายหน่วยลงทุนไปทั้งหมด 12 กองทุน ซึ่งหากรวมกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทได้รับโอนมาจากธนาคารไทยธนาคาร ซึ่งเป็นบริษัทแม่ มีสินทรัพย์รวมทั้งหมดประมาณ 27,000 ล้านบาท
โดยหลังจากดำเนินธุรกิจไปได้ประมาณ 6 เดือน ถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอายุ 3 เดือน ซึ่งในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาก็สามารถระดมทุนได้เกิน 2,000 ล้านบาทจากกองทุนตราสารหนี้ 1 กองทุนตามมูลค่าโครงการของกองทุนดังกล่าวจนต้องปิดจองหน่วยลงทุน เนื่องจากหากสูงกว่านั้นอาจจะทำให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลง
สำหรับกองทุนรวมทั้งหมดที่เปิดขายหน่วยลงทุนในปีนี้ มีทั้งกองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งประกอบด้วย กองทุนรวมไทยธรรมคุ้มครองเงินต้น 1-4 กองทุนเปิดไทย RMF คุ้มครองเงินต้นเพื่อการเลี้ยงชีพ, กองทุนเปิดไทย RMF ตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ, กองทุนเปิดไทย LTF 70 หุ้นระยะยาว, กองทุนเปิดไทย LTF ดับเบิลเซเล็คทีฟหุ้นระยะยาว, กองทุนเปิดไทยทวิตราสารหนี้, กองทุนเปิดไทยแคร์ตราสารหนี้, กองทุนปิดไทยธรรมตราสารหนี้ 1 และกองทุนรวมไทยทาร์เก็ต
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมของบริษัท มีสัดส่วนมาจากลูกค้าของธนาคารประมาณ 70% และจากไดเร็กต"เซลส"ประมาณ 30% ซึ่งแผนในปีหน้านั้น บริษัทจะเปิดขายกองทุนใหม่อีกประมาณ 7-8 กองทุนในช่วงครึ่งแรกของปี
สำหรับบลจ.บีที เป็นบริษัทจัดการกองทุนในเครือธนาคาร ไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548 โดยธนาคารถือหุ้น 99.99% ปัจจุบัน บลจ.บีที เริ่มประกอบธุรกิจในเดือนพฤษภาคม 2548 มีฐานสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการกว่า 25,000 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อถึงความเป็นห่วงในเรื่องเงินลงทุนที่จะไหลกลับเข้าไปในระบบแบงก์หลังจากขยับดอกเบี้ยเงินฝากว่า ขึ้นอยู่กับแต่ละแบงก์ มากกว่าว่าต้องการเงินฝากในการปล่อยสินเชื่อแค่ไหน ซึ่งถ้าแบงก์ใดมีสภาพคล่องเพียงพอในการปล่อยสินเชื่อแล้วก็ไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย ในขณะที่แบงก์ซึ่งมีบริษัทจัดการกองทุนอยู่อาจจะตรึงสภาพคล่องไว้ด้วยการโยกเงินไปลงทุนผ่าน บลจ. ของแบงก์นั้นๆ สำหรับ บลจ.บีทีเองซึ่งมีไทยธนาคารเป็นแบงก์แม่ก็มีนโยบายตรึงเงินไว้อยู่ภายในเครือข่ายของกลุ่มบีที ทั้งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บลจ. รวมถึงเงินฝากด้วย สอดคล้องกับการเป็นธนาคารครบวงจรหรือยูนิเวอร์แซลแบงกิ้ง
สำหรับการแข่งขันในธุรกิจกองทุนรวมปีหน้านั้น ในส่วนบลจ.ที่ไม่มีแบงก์เป็นเครือข่ายช่วยหนุนอาจจะต้องเหนื่อยหน่อย จากการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง แต่ บลจ.หลายแห่งก็มีการปรับตัวหาจุดเด่นในการกระจายหน่วยลงทุนผ่านตัวแทนอื่นๆ ซึ่งการแข่งขันดังกล่าวก็มีส่วนช่วยให้ธุรกิจกองทุนรวมขยายตัวได้ในระดับที่สูงด้วย บวกกับสถาบันประกันเงินฝากที่เกิดขึ้น และการส่งเสริมการออมจากภาครัฐในเรื่องของสิทธิประโยชน์ทางภาษี จึงเชื่อว่าน่าจะขยายตัวไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปีหน้าการขยายตัวไม่น่าจะต่ำกว่าปีนี้
ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า คาดว่าจะขยับขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3 ของปีหน้า โดยประมาณการว่าจะปรับขึ้นไปหยุดที่ระดับ 5-5.5% จาก 4% ในปัจจุบัน
|