|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
STEEL เทรดวันแรกปรัดลดลงต่ำกว่าจอง 34 สตางค์ แม้ช่วงเช้าเปิดตลาดมาสดใสที่ 3.40 บาท "ประสิทธิ์" เผยปีหน้าอัตราการเติบโตอยู่ในระดับ 40-50% พร้อมปรับสัดส่วนรายได้จากผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการ เป็นฝ่ายละ 50% เพื่อดันให้มาร์จิ้นเพิ่มอีก 5% เตรียมผลิตสินค้าใหม่แปเหล็กกล้า กำลังสูงที่มีมาร์จิ้นถึง 20%
วานนี้ (20 ธันวาคม) หุ้นของ STEEL ของบริษัท สตีล อินเตอร์เทค จำกัด (มหาชน) เปิดตลาดมาค่อนข้างสดใส โดยเปิดที่ 3.40 บาท ปรับขึ้นไปสูงสุดระหว่างวันที่ราคา 3.84 บาท ก่อนจะค่อย ๆ ปรับลดลงต่ำสุดไปอยู่ที่ 2.50 บาทและปิดตลาดที่ 2.56 บาท มูลค่าซื้อขาย 207.79 ล้านบาท หรือลดลง 34 สตางค์ คิดเป็น 11.72% โดยราคาจองอยู่ที่ 2.90 บาท
นายประสิทธิ์ อุ่นวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ STEEL เปิดเผยว่า รู้สึกพอใจที่ราคาหุ้นไอพีโอ สามาารถยืนเหนือราคาจองที่ 2.90 บาท ได้ และเชื่อว่าการที่นักลงทุนให้การตอบรับหุ้น STEEL นั้นเป็นเพราะนักลงทุนมีความมั่นใจในศักยภาพของ บริษัทฯ ซึ่งจากผลการดำเนินงานในอดีตที่ผ่านมาจนปัจจุบันพบว่ายังมีอัตราการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยปีนี้บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% เทียบกับปี 2547ที่บริษัทฯ มีรายได้ 223.95 ล้านบาท ขณะที่ผลการ ดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้ของ STEELพบว่า บริษัทมีรายได้รวม 261.44 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 47 ที่มีรายได้รวม 147.49 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 77.26% ขณะที่กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกปีนี้เท่ากับ 15.02 ล้านบาท เทียบกับงวด 9 เดือนปี 47 ที่มีกำไรสุทธิ 12.95 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 16% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงิน ปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ปรับประมาณ การรายได้จากเดิมที่คาดว่าจะมีรายได้เติบโตประมาณ 30-40% ทั้งนี้เป็นเพราะรายได้ของบริษัทฯ ในช่วง 9 เดือนปีนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 70%
นอกจากนี้บริษัทฯ คาดว่าในปีหน้ารายได้จะเติบโตประมาณ 40-50% จากการออกตัวสินค้าใหม่คือ แปเหล็ก กล้ากำลังสูง ที่ต่างประเทศมีการใช้กันมากแทนการใช้หลังคากระเบื้องใยหินผสมซีเมนต์ เพราะทนทาน น้ำหนักเบาและมาร์จิ้นดีคืออยู่ที่ประมาณ 20% โดยคาดว่าบริษัทจะเริ่มผลิตสินค้า ตัวใหม่นี้ได้ประมาณไตรมาส 2 ปี 49 เพราะหลังจากได้เงินจากการระดมทุน ครั้งนี้ จะนำไปซื้อเครื่องจักรใหม่ที่จะผลิตสินค้าดังกล่าว
"เรามีงานที่ได้แล้วคือโครงการอิมแพค ชาเลนเจอร์ ซึ่งจะเป็น HALL สำหรับการจัดแสดงสินค้าต่างๆ มีพื้นที่ ถึง 1 แสนตารางเมตร และเราคาดว่า เราจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้น จากการผลิตสินค้าตัวใหม่ เพื่อเพิ่มความหลากหลาย แปลกใหม่และรองรับความต้อง การของลูกค้า ซึ่งลูกค้าของเราส่วนใหญ่คือผู้รับเหมาปีนี้ 9 เดือนพบ ว่าเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว" นายประสิทธิ์กล่าว
โดยหลังจากที่บริษัทฯ ได้ผลิตสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดแล้ว จะหันไปปรับสัดส่วนการขายตรงและจัดสินค้า ขายรวมกันเป็นแพกเกจมากขึ้น ปัจจุบัน STEEL มีสัดส่วนรายได้จาก ฐานลูกค้าที่สำคัญของบริษัทคือลูกค้า รายย่อยประเภทโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางถึงขนาดเล็ก ซึ่งแบ่งสัดส่วนรายได้เป็นผู้รับเหมา 40% และเจ้าของโครงการ 60% โดยในอนาคตสัดส่วนรายได้จะปรับเป็นอย่างละ 50%
ปัจจุบัน มาร์จิ้นในการจำหน่ายสินค้าที่เป็นผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการจะอยู่ที่ประมาณ 18-20% หลังปรับสัดส่วนการจำหน่ายให้กับลูกค้าโดยจะเพิ่มเจ้าของโครงการ จะทำให้บริษัทมีมาร์จิ้นรวมของบริษัทเพิ่มอีก 5%
นายประสิทธิ์กล่าวเพิ่มอีกว่าแผนงานป•หน้านอกจากการปรับสัดส่วนการจำหน่ายแล้ว บริษัทยัง จะเพิ่มการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในต่างประเทศ โดยเน้นไปในประเทศเพื่อนบ้านก่อนเป็นการชิมลางตลาด ก่อนจะขยายให้ครอบ คลุมทั่วเอเชีย
ปัจจุบัน STEEL มีกำลังการผลิตแผ่นหลังคาเหล็กเคลือบขึ้นลอนรวม 2,412,000 ตารางเมตร หรือ 10,000 ตันต่อปี โดยในปี 2547 และงวด 9 เดือนแรกปี 2548 มีอัตราการใช้กำลังการผลิตร้อยละ 29.98 และร้อยละ 32.29 ตามลำดับ โดยในงวด 9 เดือนแรกปี 2548 บริษัทจัดจำหน่ายสินค้าผ่านตัวกลางซึ่งถือเป็น ลูกค้าทางตรงของบริษัท 3 กลุ่มหลัก โดยมีสัดส่วนดังนี้ ผู้รับเหมา 42.51% ผ่านตัวแทนจำหน่าย 21.53% และขายให้แก่เจ้าของโครงการโดยตรง 35.96%
ณ 31 ตุลาคม 2548 บริษัทมีงานระหว่างส่งมอบซึ่งได้รับใบสั่งซื้อจากลูกค้าแล้วทั้งสิ้น 143 โครงการ คาดว่าจะส่งมอบงานได้ประมาณ 128 โครงการภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 มูลค่ารับรู้รายได้โดยประมาณ 44.35 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 15 โครงการ คาดจะส่งมอบในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 มูลค่ารับรู้รายได้โดยประมาณ 7.83 ล้านบาท
|
|
 |
|
|