Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2540
"อรพรรณ วิไลลักษณ์ กับธุรกิจส่วนตัวที่ฝันไว้"             
โดย มานิตา เข็มทอง
 


   
search resources

MCM
อรพรรณ วิไลลักษณ์




ชีวิตเธอพลิกผันจากการเป็นพนักงานแบงก์ก้าวสู่การเป็นเจ้าของกิจการ ด้วยวัยกำลังพอเหมาะในการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ประกอบกับแรงสนับสนุนจากคนรอบข้างผลักดันให้เธอสู้อย่างเต็มที่กับงานใหม่ที่ท้าทายเธออยู่

ชื่อเธออาจจะไม่คุ้นนักถ้าเทียบกับนามสกุล "วิไลลักษณ์" ซึ่งถ้าใครได้ยินก็ต้องนึกถึง SAMART ทันที แน่นอนเธอมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลวิไลลักษณ์อย่างแน่นแฟ้น เพราะเธอคือศรีภรรยาของ ธวัชชัย วิไลลักษณ์ ทายาทธุรกิจเทเลคอมมูลค่าพันล้านนั่นเอง

ใครจะรู้บ้างว่าสาวน้อยหน้าใสวัยยี่สิบปลายๆ นี้จะสวมบทบาทคุณแม่ของลูกชายวัย 7 เดือน "น้องโฟน" ที่เกิดมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่การงานของคุณแม่ จากพนักงานแบงก์กลายมาเป็นเจ้าของกิจการเครื่องหนังนำเข้าชื่อดังจากประเทศเยอรมนี

คุณแม่ยังสาวเล่าว่า หลังจากที่เธอจบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาบริหารธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เธอก็ได้เข้าทำงานในฝ่ายสินเชื่อของธนาคารกรุงศรีอยุธยาประมาณ 2 ปี แล้วศึกษาต่อปริญญาโท สาขาการเงินที่ศศินทร์ (จีบ้า) เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นก็กลับมาทำงานต่อที่เดิมได้ประมาณ 2 ปีก็ลาออก เนื่องจากตั้งครรภ์พอดี

"ตอนที่อยู่แบงก์ก็เริ่มทำงานด้านสินเชื่อธุรกิจรายย่อย หลังจากจบปริญญาโทก็รับผิดชอบงานด้าน PROJECT FINANCE ซึ่งตอนนั้นจบโทมาใหม่ๆ ก็มีความรู้สึกว่าอยากทำงานด้านวาณิชธนกิจ แต่เนื่องจากโครงสร้างองค์กรไม่อำนวยและประกอบกับคลอดน้องโฟนพอดีจึงตัดสินใจลาออกจากแบงก์ เพื่อจะได้ให้เวลากับลูกอย่างเต็มที่" เธอเล่า และจังหวะนั้นเอง หลังจากที่เธอคลอดน้องโฟนได้ประมาณ 4-5 เดือน ธวัชชัยก็ได้ปรึกษาภรรยาสาวถึงธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็น แฟรนไชส์จำหน่ายเครื่องหนังภายใต้ยี่ห้อ MCM (MICHAEL CROMER MUNICH) จากเยอรมนี เธอก็สนใจเพราะเธอเองก็รู้จักเครื่องหนังยี่ห้อนี้มานาน ประกอบกับตัวแทน แฟรนไชส์ ที่สิงคโปร์ผู้ดูแล MCM ในภูมิภาคนี้ก็รู้จักกันเป็นการส่วนตัวกับสามีเธอ และการติดต่อธุรกิจในครั้งนี้ ทาง MCM สิงคโปร์ก็ได้ให้ความไว้ใจที่จะให้เธอเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าในประเทศไทย ในขณะที่มีผู้ที่สนใจขอเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์นี้หลายรายแต่ก็ไม่ผ่านการพิจารณา

"MCM จะพิจารณาหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นประวัติความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ความแข็งแกร่งทางด้านการเงินและเครดิตความน่าเชื่อถือของเรา ซึ่งเขาก็เห็นว่าเราค่อนข้างจะเหมาะสม เขาก็ชักชวนให้เราเข้าไปทำ เราก็ตัดสินใจทำเลย" อรพรรณเล่า ช่วงเวลาที่เธอใช้ในการตัดสินใจค่อนข้างรวดเร็ว แต่เธอก็มั่นใจว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดี เนื่องจากมีกำลังใจที่ดีจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะสามี

"คุณธวัชชัยเป็นที่ปรึกษาที่ดีมาก เนื่องจากผ่านประสบการณ์การทำธุรกิจมาตั้งแต่เริ่มจากขนาดกลางไปจนใหญ่ เรื่องการตลาด การจัดระบบภายใน เขาก็จะมีส่วนช่วยและที่สำคัญคือเป็นกำลังใจให้เราตลอดเวลา"

จากปัจจัยทางด้านความพร้อมที่เธอมีอยู่เต็มเปี่ยมในทุกด้าน การเป็นเจ้าของกิจการ ณ วันนี้ของเธอจึงเรียกได้ว่าไม่เร็วและไม่ช้าเกินไปกับความฝันของเธอที่ฝันไว้ว่า "สักวันหนึ่งจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง" อาจจะเป็นเพราะว่าเธอถูกแวดล้อมไปด้วยนักธุรกิจไม่ว่าจะครอบครัวของตัวเองหรือครอบครัวของสามีจึงเป็นส่วนผลักดันให้เธอถึงฝั่งฝันได้อย่างสมบูรณ์

สำหรับปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของสาวเก่งคนนี้ เธอให้ความสำคัญกับ "ความซื่อสัตย์และการบริการที่ดี" ที่มีต่อลูกค้า

"สินค้าที่เราเสนอต่อลูกค้าต้องดีจริง ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นเราจะต้องเช็กโดยละเอียดมีรอยสักนิดก็จะไม่ขายเลย ส่วนในเรื่องของการให้บริการ จะกำชับพนักงานขายทุกคนเสมอว่า แม้ว่าลูกค้าจะไม่ได้เข้ามาซื้อของของเรา แต่เมื่อเขาก้าวเข้ามาในร้านของเราแล้วเขาจะต้องประทับใจกลับไป"

9 เม.ย. ที่ผ่านมาเป็นวันแรกของการเปิดร้าน MCM ณ ชั้น 2 SIAM DISCOVERY CENTER ซึ่งเธอก็วุ่นวายกับการจัดสินค้าหน้าร้านทั้งวันทั้งคืน และเธอได้สารภาพว่า ตอนแรกเธอรู้สึกกลัวมากกับการทำธุรกิจนี้ เพราะเธอไม่แน่ใจว่า คนไทยจะรู้จักผลิตภัณฑ์ของ MCM แค่ไหน และผลตอบรับจากลูกค้าจะเป็นอย่างไร แต่พอเปิดร้านวันแรกก็มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่แวะเวียนเข้ามาชมสินค้าของเธอซึ่งส่วนใหญ่ก็รู้จักผลิตภัณฑ์นี้ เพราะสินค้าตัวนี้มีชื่อเสียงมากในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเดินทางหรือกระเป๋าถือ เธอได้ยกตัวอย่างบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ใช้ผลิตภัณฑ์นี้ก็ได้แก่ เลดี้ไดอาน่า มาดอนนา และไมเคิล แจ็คสัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสาวสวยอย่างซินดี้ ครอว์ฟอร์ดมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้อีกด้วย

"แรกๆ รู้สึกกลัวมากเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดีเท่าไร แต่พอมาดูแล้วสินค้าเราค่อนข้างใช้ได้ ราคาก็อยู่ในกลุ่มลูกค้าระดับ B+ ขึ้นไปประกอบกับทำเลแห่งแรกของเราที่นี่ก็ดีมาก จะมีคนเดินเข้าร้านตลอดและวันนี้เปิดวันแรกเรายังขายได้ กำลังใจก็เพิ่มขึ้นอีกมาก" เธอเล่า สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่เธอตั้งไว้สำหรับปีแรกของการเริ่มต้น เธอคาดหวังว่าจะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 25 ล้านบาท

และวันที่ 25 เม.ย. นี้จะมีงาน SOFT OPENING ที่โชว์รูมชั้น 2 SIAM DISCOVERY CENTER และจากนั้นประมาณเดือนมิถุนายนจะเป็นงาน GRAND OPENING ที่จะจัดขึ้นที่โรงแรมสุโขทัย ซึ่งงานนี้เธอรับรองว่าจะมีความแปลกใหม่ในเรื่องของการเปิดตัวสินค้า จากเดิมที่ส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในห้องของโรงแรม แต่งานนี้เธอวาดแผนไว้ว่าจะจัดเป็นงานกลางแจ้งมีการเดินแฟชั่นท่ามกลางความร่มรื่นของแมกไม้

ชีวิตการทำงานของเธอเปลี่ยนไปนับจากหันหลังให้กับงานแบงก์และมุ่งสู่การเป็นเจ้าของกิจการ เรียกได้ว่าเป็นความโชคดีของเธอเลยก็ว่าได้ ที่เธอไม่ได้กลายเป็นวาณิชธนากรอย่างที่เธออยากจะทำหลังจากเรียบจบปริญญาโท เพราะวันนี้เธออาจจะไม่มีเวลาให้กับครอบครัวมากเท่าที่เป็นอยู่

"ช่วงนี้อยู่ในระยะเริ่มต้นของธุรกิจ ต่อไปเมื่อลงตัวก็จะมีเวลาให้กับลูกและสามีมากขึ้น เราไม่อยากจะให้เวลา 100% กับงานหรือแค่ 20% กับงาน อยากให้เป็น 50 : 50 ระหว่างงานกับครอบครัว แต่อาจมีบางช่วงที่ต้องให้เวลากับการทำงานมากกว่า ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีเวลาอยู่กับลูกก็ใช้เวลาตรงนั้นให้มีค่ามากที่สุด คือให้เป็นความทรงจำที่ดีให้ลูกมีความสุข ซึ่งถ้าเราอยู่กับลูกทั้งวันทั้งคืนแต่ลูกไม่รู้สึกดีก็ไม่มีประโยชน์ และที่สำคัญต้องให้เวลากับสามีด้วย เพราะเขาก็งานยุ่ง ถ้าเรามัวแต่ทำงานต่างคนต่างก็ไม่เจอหน้ากันพอดี" นี่คือเวลาที่เธอวางไว้

สำหรับความรู้สึกที่เธอมีต่อสามีที่แสนดีนั้น เธอเปิดเผยว่า "เขาเป็นสามีที่ดีมาก แม้ว่างานเขาจะเยอะ แต่เขาก็พยายามที่จะจัดเวลาให้กับครอบครัว ซึ่งอาจจะไม่มากนัก แต่หากเราไม่ DEMAND มาก ตรงจุดนั้นเราก็รับได้แน่นอน การเป็นสามีภรรยากันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน แน่นอนต้องอยู่บนพื้นฐานของความรัก และที่สำคัญต้องให้อภัยกันและกัน ถ้ามีทั้ง 3 สิ่งนี้ ครอบครัวก็ HAPPY แล้ว"

ณ วันนี้ชีวิตของคุณแม่รูปหนึ่ง ซึ่งเธอบอกว่าจริงๆ แล้ว ลูกสองคนแล้ว เพราะเธอให้ MCM เป็นลูกคนที่ 2 ที่ต้องดูแลเช่นเดียวกัน ได้เริ่มต้นก้าวเดินบนถนนสายธุรกิจอย่างเต็มภาคภูมิท่ามกลางกำลังใจจากคนรอบข้าง และที่สำคัญเธอมีความรักและความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมมอบให้กับงานนี้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us