|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บลจ.กสิกรไทยเดินหน้าทวงแชมป์ NAV สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งภายในปีนี้สำเร็จ แต่ยังห่วงปีหน้าหาก "วายุภักษ์ 2" เกิดจะผลักดันให้คู่แข่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการแซงทันที เผยปีหน้าตั้งเป้า NAV เพิ่ม 25% โดยจะหันมาให้น้ำหนักกับกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) และพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ หลังซุ่มเตรียมความพร้อมมานาน
นายอโศก วงศ์ชะอุ่ม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ภายใต้การบริหารจัดการในปี 2549 ประมาณ 25% โดยล่าสุดในปีนี้มีพอร์ตภายใต้การบริหารจัดการกว่า 2.06 แสนล้านบาท ครองส่วนแบ่งตลาด (มาร์เกตแชร์) อันดับ 1 เมื่อเทียบกับปี 2547 ที่มีพอร์ตภายใต้การบริหาร 1.5 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 30%
"กลยุทธ์ในปีหน้าเราคงให้น้ำหนักกับการออกกองทุนตราสารอนุพันธ์ กองทุนรวมลงทุนในต่างประเทศ (FIF) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) ซึ่งเราได้มีการศึกษาเรื่องนี้มาหลายปี" นายอโศกกล่าว
สำหรับภาพรวมธุรกิจกองทุนรวม ในปีหน้า คาดว่ากองทุนตราสารหนี้ ที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรยังคงได้รับการตอบรับจากลูกค้าเงินฝาก และเชื่อว่าตลาดยังคงไปได้ เนื่องจากลูกค้ากองทุนยังมีสัดส่วนต่ำ เมื่อเทียบกับกลุ่มลูกค้าเงินฝากที่มีเม็ดเงินกว่า 5-6 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน
"สาเหตุที่กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นในปีนี้ได้รับการตอบรับจากนักลงทุน แต่เมื่อแนวโน้มดอกเบี้ย เริ่มนิ่งในช่วงกลางปี คาดว่า บลจ.แต่ละแห่งจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ในการเสนอขายหน่วยลงทุน โดยหันมาออกกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ระยะปานกลาง และระยะยาวมากขึ้น ซึ่งทำให้เห็นว่าแนวโน้มกองทุนตราสารหนี้ยังไม่หมดไป"
นอกจากนี้ แนวโน้มการจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝากที่คาดว่าจะเกิดขึ้นถือว่ามีส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจกองทุนขยายตัว โดยนักลงทุนจะพิจารณาความเสี่ยงในการลงทุนมากขึ้น ส่งผลให้มีเงินฝากบางส่วนย้ายการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งถือเป็นไปตามกลไกตลาด
นายอโศกกล่าวว่า แผนการดำเนินงานของบลจ.กสิกรไทย ยังคงดำเนินไปตามกลยุทธ์ของธนาคารกสิกรไทยที่ได้ปรับตัวโดยชูจุดขายในเรื่องของ K-GROUP ซึ่งหมายถึงการเป็นสถาบันการเงินที่มีบริการทางการเงินอย่างครบวงจร โดยโฟกัสไปที่ความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ ภายใต้สโล-แกนบริการทุกระดับประทับใจ
สำหรับกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.กสิกรไทย ในปีหน้ายังไม่มีแผนออกกองใหม่ โดยจะเน้นการทำ ความเข้าใจกับลูกค้าที่สนใจลงทุนผ่านกองทุนหุ้นเป็นสำคัญ โดย บลจ.กสิกรไทยประเมินว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีหน้าดัชนีจะอยู่ที่ 740 จุด และคาดว่าตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวน โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัว 5%
นายอโศกกล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล ซึ่งปัจจุบันบลจ.กสิกรไทยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 แต่ภาพรวมของอุตสาหกรรมยังขยายตัวน้อยมาก และที่สำคัญมีการแข่งขันกันมาก โดยเฉพาะเรื่องการลดค่าธรรมเนียม อย่างไรก็ตาม บริษัทมีนโยบายไม่เข้าไปแข่งขันในด้านนี้ โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2548 บลจ.กสิกรไทยมีพอร์ตกองทุนส่วนบุคคลภายใต้การบริหาร 39,667 ล้านบาท
สำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ณ เดือนตุลาคม 2548 บลจ.กสิกรไทยมีพอร์ตภายใต้การบริหาร 33,411 ล้านบาท มาร์เกตแชร์อันดับ 4
"เราสามารถกลับขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ได้สำเร็จในปีนี้ โดยมีการออกกองทุนจำนวน 20 กองทุน แต่สิ่งที่เราเป็นห่วงคือ กองทุนวายุภักษ์ 2 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า ถ้าหากมีเราคงไม่สามารถรักษาความเป็น บลจ.ที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ได้" นายอโศกกล่าว
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า คาดว่าจะทยอยปรับขึ้น โดยคาดว่าจะปรับตัวสูงสุดในช่วงกลางปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะสั้น (อาร์/พี) 14 วันคาดว่าจะอยู่ที่ 4.50-4.75%
|
|
|
|
|