|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บง.กรุงเทพธนาทร จัดประชุมผู้ถือหุ้นขออนุมัติแผนกระจายหุ้น บล.บีฟิท เข้าตลาดฯ หลังเข้าข่ายรายการจำหน่ายไปต้องเปิดเผยผลกระทบ หุ้นแม่ และให้สิทธิผู้ถือหุ้นแม่ได้จองหุ้นด้วย เผยเตรียมเพิ่มทุน 599.99 ล้านบาท เป็น 800 ล้านบาท เสนอขายต่อประชาชน 200 ล้านหุ้น หวังนำเงินไปใช้เพิ่มสาขา-ใช้คืนเงินกู้, พัฒนาเทคโนโลยี,เงินทุน หมุนเวียน เล็งกระจายหุ้นปลายไตรมาสแรกปีหน้า
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กรุงเทพธนาทร จำกัด(มหาชน) หรือ BFIT แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า คณะกรรมการได้มีมติอนุมัติให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บีฟิท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยดำเนินการเพิ่มทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยกำหนดประชุมผู้ถือหุ้นวิสามัญครั้งที่ 1/2549 ในวันที่ 20 มกราคม 2549 และกำหนดปิดสมุดทะเบียน พักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิของผู้ถือหุ้นในการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นวิสามัญครั้งที่ 1/2549 ในวันที่ 30 ธันวาคม 2548
ทั้งนี้ บล.บีฟิท จำกัด (มหาชน) มีมติอนุมัตินำหุ้นของบริษัทเข้าจดทะเบียนและอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 599.99 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียน 800 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 200.005 ล้านหุ้นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอ ขายให้แก่ประชาชนและบุคคลทั่วไป ซึ่งจะทำให้ บง.กรุงเทพธนาทร มีสัดส่วนการถือหุ้นลดลง ถ้าเป็นกรณีไม่รวมจำนวนหุ้นสามัญที่ยังไม่เรียกชำระ 199.99 ล้านหุ้น ที่จัดสรรเพื่อรองรับการแปลงสภาพของหุ้นกู้ด้อยสิทธิแปลงสภาพจะทำให้บง.กรุงเทพธนาทร ลดสัดส่วนจากถือเกือบ 100% เหลือ 66.67% แต่ในกรณีปรับรวมจำนวนหุ้นสามัญ 199.99 ล้านหุ้น ภายหลังการแปลงสภาพหุ้นกู้ด้อยสิทธิแปลงสภาพ ทั้งหมด จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเหลือ 50%
สำหรับผลประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับ บล.บีฟิทนั้นจะทำ ให้เพิ่มมูลค่าให้แก่หุ้นสามัญของบล.บีฟิท,มีเงินกองทุนเพียงพอที่จะขยายธุรกิจในการเพิ่มส่วนแบ่ง การตลาด, คืนเงินกู้ด้อยสิทธิขณะที่บง.กรุงเทพธนาทรจะได้รับประโยชน์จากนำบริษัทย่อยเข้า ตลาดทำให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจหลักทรัพย์และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าหุ้น บล. บีฟิท ที่บริษัทถืออยู่และสามารถทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในบล.บีฟิทให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กำหนดได้
ในส่วนของแผนการใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนนั้น บล.บีฟิท จะนำเงินไปขยายธุรกิจโดยการเพิ่มสาขาและใช้คืนเงินกู้ด้อยสิทธิ, พัฒนาระบบงานและเทคโนโลยีสารสนเทศและเป็นเงินทุน หมุนเวียนในกิจการ
ทั้งนี้ การที่ บล.บีฟิทซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บง.กรุงเทพธนาทร ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ฯมีการเพิ่มทุนและเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปนั้นรายการดังกล่าวเป็นรายการจำหน่ายไป ซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน ดังนั้นบริษัทจะต้องจัดส่งสารสนเทศแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบภายใน 21 วัน หรือในวันที่ 6 มกราคม 2549
"ตามที่สำนักงานคณะกรรม การกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์(ก.ล.ต.) อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นในเรื่องการ จัดโครงสร้างบริษัท เพื่อ IPO และ Spin-off ซึ่งคำนึงถึงการคุ้มครอง สิทธิของผู้ถือหุ้นของบริษัทแม่และต้องการให้การ Spin-off บริษัทย่อยต้องทำตามเกณฑ์การจำหน่ายสินทรัพย์ที่สำคัญ รวมทั้งให้ผู้ถือหุ้นอนุมัติแผนการ Spin-off โดยภาพรวม เช่น แผน การกระจายหุ้น รวมทั้งเปิดเผยผล กระทบต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทแม่ และควรให้สิทธิผู้ถือหุ้นของบริษัทแม่ในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ของบริษัทย่อยดังกล่าวด้วย"
นายสุวิช รัตนยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้แต่งตั้งให้ บล. นครหลวงไทยเป็นที่ปรึกษาทาง การเงินขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นได้ภายในปลายไตรมาสแรกปี 2549
การนำ บล.บีฟิทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯถือเป็นหนึ่งในแผน การลดสัดส่วนการถือหุ้นของ บง. กรุงเทพธนาธร (BFIT) ซึ่งตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่ง บง.กรุงเทพธนาทร จะต้องลดสัดส่วนการถือหุ้นเหลือ ต่ำกว่า 10% ภายใน 5 ปีนับจากปี 2543 ซึ่งไม่สามารถทำได้ทัน ดังนั้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บง.กรุงเทพธนาทร จึงยื่นหนังสือต่อ ธปท. เพื่อขอขยายระยะเวลาการลดสัดส่วนการ ถือหุ้นใน บล.บีฟิทออกไปอีก 3 ปี ซึ่งในอนาคตจะต้องลดสัดส่วนให้ได้ตามเกณฑ์คือต่ำกว่า 10%
นายสุวิช กล่าวถึง แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทว่ามั่นใจว่าในปี 2548 นี้ บริษัทจะสามารถทำกำไรสุทธิได้ตามเป้าที่วางไว้ 200 ล้านบาท จากงวด 9 เดือนที่มีกำไรสุทธิประมาณ 172 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาจากผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4/48 คิดว่าน่าจะออกมาเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ส่วนในปีหน้า บริษัท ตั้งเป้าเพิ่มมาร์เกตแชร์เป็น 4% จาก ปีนี้มีมาร์เกตแชร์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3% ซึ่งในส่วนการเติบโตของกำไร น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับมาร์เกตแชร์ที่เพิ่มขึ้น
|
|
|
|
|