Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน20 ธันวาคม 2548
ACAPเตรียมบริหารหนี้วงเงินกว่า2พันล. เล็งประมูลอีก5กองพร้อมงานที่ปรึกษาฯ             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (มหาชน)

   
search resources

Consultants and Professional Services
เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่, บมจ.




ACAP เดินหน้าบริหารหนี้วงเงินกว่า 2 พันล้านบาท หลังธนาคารสแตนดาร์ด เมอร์ชานท์ (เอเชีย) หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ ชนะการประมูลหนี้แบงก์ไทยพาณิชย์ คาดปีหน้าประมูลอีก 4-5 กอง ส่วนที่ปรึกษาฯ จะมีต่อเนื่อง มั่นใจปีหน้าผลงานเติบโตก้าวกระโดด

นายวิวัฒน์ วิฑูรย์เธียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (มหาชน) (ACAP) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับบริหารหนี้ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ขายหนี้ออกมา มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท จากหนี้ทั้งหมดของไทยพาณิชย์ที่มีอยู่ 13,000 ล้านบาท โดยธนาคารสแตนดาร์ด เมอร์ชานท์ (เอเชีย) ซึ่งเป็นพันธมิตร และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 5% ใน ACAP ได้ชนะการประมูลหนี้ล็อตนี้
นายวิวัฒน์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 48 หรือช่วง 2 เดือนสุดท้ายนี้พบว่ามีธนาคารหลายแห่งตลอดจนสถาบันการเงิน ได้เริ่มที่จะมีแผนขายมูลหนี้รายย่อยออกมาแล้ว เว้นแต่หนี้รายใหญ่ที่ส่วนใหญ่แบงก์ ต่างก็ต้องบริหารเอง เนื่องจากการบริหารลูกหนี้รายย่อยทำยากและซับซ้อนมากกว่ารายใหญ่ ล่าสุดคือธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่กำลังจะขายหนี้ออกมาอีก ส่วนบรรษัทบริหารสินทรัพย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่ตั้งขึ้นมาเท่านั้นที่ไม่มีนโยบายขายหนี้ออกมา

ปัจจุบัน ACAP มีหนี้ในมือ ที่อยู่ได้งานมาแล้ว 33,000 ล้านบาท หรือ 5% ของมูลหนี้รวมส่วนใหญ่ เป็นหนี้ของรายเล็ก ที่มีเม็ดเงินราย ละประมาณ 3-4 ล้านบาท ขณะที่มูลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มีประมาณ 6 แสนล้านบาท และเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องการลด NPL เหลือประมาณ 2% ในกลางปี 49 ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อ ACAP เป็นเพราะหมายถึงมูลหนี้ที่อยู่ในระบบต้องถูกนำออกมาเปิดประมูลมากขึ้นด้วย ซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังยื่นประมูลอีก 4-5 กอง

นอกจากงานบริหารหนี้แล้ว ACAP ยังมีธุรกิจที่ปรึกษาการเงินด้วย โดยล่าสุดดำเนินการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ ซึ่งยื่นไฟลิ่งให้ไปแล้ว 2 แห่งคือ บริษัท ไทย ออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลล์ จำกัด (มหาชน) แล้ว คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ปี 49 และยังมีแห่งหนึ่งที่ทำธุรกิจด้านเคมีคอลเช่นกัน

นายวิวัฒน์กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายปีนี้ว่า รายได้และกำไรน่าจะดีกว่าไตรมาส 3 ปี 47 ที่มีรายได้ 79 ล้านบาท กำไร 18 ล้านบาท เพราะเป็นเงินที่บริษัทจะทยอยเรียกเก็บจากลูกหนี้ช่วงปลายปี ซึ่งเป็นรายได้หลักที่มาจากการบริหารหนี้ ซึ่งงวด 9 เดือนปีนี้พบว่ามีรายได้ประมาณ 200 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 32 ล้านบาท และเชื่อว่าการเติบโตแบบก้าวกระโดดต่อเนื่องเหมือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ นายวิวัฒน์ วิฑูรย์เธียร กรรมการผู้จัดการ ACAP ยังแจ้ง ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกว่าตนได้รับการรับโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวมาจากภรรยาและบุตร เพื่อให้การถือหุ้นรวมเป็นก้อนเดียวกัน โดยการโอนหุ้นดังกล่าวไม่ได้มีนัยสำคัญ และไม่ได้โอนไปให้บุคคลอื่นแต่อย่างใด ซึ่งรับโอนมาหลังจากขายหุ้น IPO แล้ว ส่งผลให้ปัจจุบันนายวิวัฒน์ ถือหุ้น ACAP เป็น 60.84%

นายชำนาญ สุดดี รองประธานอาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ด เมอร์ชานท์ (เอเชีย) ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสาม ของ ACAP เปิดเผยว่า ทางธนาคารได้มีแผนที่จะเข้าประมูลหนี้ที่สถาบันการเงินทุกแห่งในประเทศไทยนำออกมาประมูล รวมทั้งหนี้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) จะทยอยนำออกมาประมูลในต้นปี 2549 ล็อตละประมาณ 30,000 ล้านบาท หลังจากล่าสุดธนาคารสามารถชนะการประมูลหนี้ ของธนาคารไทยพาณิชย์ มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยหนี้ที่ธนาคารสามารถประมูลได้จะนำมาให้บริษัท เอแคป บริหารจัดการ โดยธนาคารมีเงินกองทุนประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับซื้อหนี้ NPL ในตลาดเกิดใหม่แถบภูมิภาคเอเชีย เช่น ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย มาบริหาร

สำหรับการเข้าถือหุ้นใน ACAP ผ่านการซื้อเมื่อ IPO เพราะมองเห็นศักยภาพและความสามารถในการบริหารหนี้ โดยเฉพาะหนี้รายย่อย และธนาคารเอง ก็มองถึงการลงทุนที่ต่อเนื่องในอนาคตด้วย เพราะการเข้ามาเป็นพันธมิตรในการบริหารงาน ถือเป็นการเข้ามาลงทุนในไทยเป็นก้าวแรก ก่อนที่จะมองช่องทางการ ลงทุนในวันหน้า

"เราซื้อตอน IPO ที่ราคาหุ้นละ 7 บาท และหากมีโอกาสข้างหน้าเราก็ต้องการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นด้วย แต่ไม่ใช่การ เทกโอเวอร์กิจการ เพราะเรามองเห็นศักยภาพของ ACAP ที่มีทีมงานมีฝีมือและชำนาญในการบริหารหนี้รายย่อย ซึ่งในอนาคตเราคงต้องให้ ACAP ไปบริหารหนี้รายย่อยในประเทศแถบเอเชียด้วย" นายชำนาญกล่าว

เพราะการเป็นพันธมิตรและถือหุ้น ย่อมดีกว่าการเข้ามาตั้งสาขาเอง เพราะหากตั้งสาขาการลงทุนต้องใช้เม็ดเงินสูงในการประมูลและบริหารหนี้ แต่เมื่อมี ACAP ที่ชำนาญในการบริหารและติดตามหนี้อยู่แล้ว สแตนดาร์ดฯ เข้าไปบิดงานมา หรือบางงานอาจจับมือกันเพื่อร่วมประมูลงาน หลังจากได้งานมาแล้วก็จะให้ ACAP บริหาร ซึ่งเป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us