Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2540








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2540
"ภูษณ ปรีย์มาโนช โอกาสที่ไม่ได้มาเพราะโชค"             
โดย ไพเราะ เลิศวิราม
 


   
search resources

ภูษณ ปรีย์มาโนช




คนวันสี่สิบปีของสุภาษิตฝรั่งถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้น สำหรับภูษณแล้วในวัยสี่สิบกว่าของเขากลับเดินทางมาเกือบครึ่งค่อนทางแล้ว

ภูษณ เป็นผู้หนึ่งที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในชีวิตมาด้วยลำแข้ง ที่ไต่เต้าจากเซลล์แมนจนกลายมาเป็นเบอร์สองของยูคอม รองจากบุญชัย เบญจรงคกุล ล่าสุดเขาก้าวขึ้นเป็นถึงรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกรรมการบริหารพรรคความหวังใหม่

เส้นทางชีวิตของภูษณย่อมไม่ธรรมดา !

ภูษณเป็นชาวกรุงเทพฯ บ้านเดิมอยู่แถวช่องนนทรี พ่อเป็นคนกรุงเทพฯ แต่แม่เป็นชาวพิษณุโลก เขาเล่าว่ามีพี่น้องทั้งหมด 2 คน แต่คนใกล้ชิดเล่าว่าเขายังมีน้องสาวอีก 1 คน แต่ภูษณไม่เคยเอ่ยถึง ปัจจุบันพี่ชายประกอบธุรกิจส่วนตัวมีโรงงานอุตสาหกรรม

ภูษณ จบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเจ้าตัวระบุว่าเป็นคนหนึ่งที่อยู่ร่วมสมัย 14 ตุลาคม 2516 อันเป็นเหตุให้รู้จักกับพินิจ จารุสมบัติ แอคติวิสต์เก่าในยุคนั้น ปัจจุบันกลายมาเป็นหัวหน้าพรรคเสรีธรรมและเคยนั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

แต่ยังไม่ทันจะเข้าร่วมอุดมการณ์จริงจัง ก็ถูกส่งไปศึกษาต่อด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยลอนดอนอังกฤษ ซึ่งพี่ชายเขาได้บินไปศึกษาอยู่ที่นั่นก่อนหน้าแล้ว

ภูษณ ใช้ชีวิตเรียนและทำงานหารายได้พิเศษ 6-7 ปีในอังกฤษ จนคว้าปริญญาโท ซึ่งเขาเคยเล่าให้คนใกล้ชิดฟังว่าจาน 2 พันใบในร้านอาหารผ่านฝีมือการล้างของเขามาแล้ว

ทุกวันนี้เขามีบ้านพักในลอนดอน ที่ต้องเดินทางไปพักผ่อนอย่างน้อยปีละครั้งสองครั้ง มีบริษัทซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ในชื่อของบริษัท "เอ็มจี" เพราะความที่ตัวเขาเป็นคนพิสมัยความเร็วแรงของรถ ภูษณจึงเป็นหนึ่งในนักสะสมรถตัวยงเขามีรถโบราณหายากและรถสปอร์ตหรูราคาแพงระยับสะสมอยู่มากกว่า 50 คัน

นอกจากนี้ภูษณยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น โรงเรียนนานาชาติ "ฮาร์โรว์ อินเตอร์เนชั่นแนล สคูล" สถานศึกษาชั้นนำของอังกฤษที่ขยายกิจการมายังเอเชีย โดยมีศิษย์เก่าอย่าง "หม่อมเต่า" ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล ถือหุ้นร่วมอยู่ด้วย และจะเปิดดำเนินการในไม่ช้านี้

หลังจากคว้าปริญญาโท วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยลอนดอน ภูษณบินกลับมาเริ่มชีวิตการทำงานครั้งแรกกับธนาคารกรุงไทยในตำแหน่งวิศวกรคอมพิวเตอร์ ก่อนจะมาร่วมงานที่บริษัทล็อกซเลย์ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ขายระบบตู้โทรศัพท์สาขาอัตโนมัติ หรือพีเอบีเอ็กซ์

ภูษณใช้ชีวิตเซลส์แมนในล็อกซเล่ย์ได้ไม่นาน เขายื่นใบลาออกอีกครั้งเพื่อไปร่วมงานใหม่ในบริษัทข้ามชาติที่ชื่อ "จีทีอี" บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมจากสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาตั้งสำนักงานในไทย ซึ่งภูษณก็สามารถไต่เต้าจนเป็นผู้จัดการฝ่ายขายในวัยเพียง 26 ปีเท่านั้น

ต่อมาไม่นานจีทีอีปิดกิจการในไทย และยื่นข้อเสนอให้เขาย้ายไปทำงานที่สิงคโปร์ เป็นผลให้ภูษณยื่นใบลาออกและกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญให้กับชีวิตของเขา

ด้วยเงื่อนไขการหางานในครั้งนั้นของภูษณ ที่ต้องพ่วงเอาลูกน้องเดิมเข้าทำงานด้วยอีก 9 ชีวิต การหางานใหม่ในครั้งนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ภูษณจึงต้องยอมทิ้งเงินเดือนสี่หมื่นที่เคยได้รับจากจีทีอีมากินเงินเดือนเพียงหมื่นกว่าบาทในยูคอมเนื่องจากยูคอมเป็นแห่งเดียวที่ยอมรับเงื่อนไขของเขาได้

ยูคอมในเวลานั้นยังเป็นเพียงแค่บริษัทเล็กๆ ตั้งอยู่ริมถนนราชเทวี เป็นดีลเลอร์ขายอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ค้าขายกับหน่วยงานราชการมานาน มียอดขายปีละ 50 กว่าล้านบาทซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่บุญชัย เบญจรงคกุล ทายาทคนโตของตระกูล เพิ่งบินกลับจากสหรัฐอเมริกาเพื่อมาสานต่อกิจการจากผู้เป็นพ่อที่เสียชีวิตลงได้ไม่นาน และในเวลานั้นบุญชัยกำลังต้องการทีมงานมาช่วยขยายกิจการ

ภูษณ เริ่มงานในยูคอมด้วยตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายตู้โทรศัพท์สาขา ก่อนขยับไปขายอุปกรณ์โทรคมนาคมอื่นให้กับหน่วยงานราชการ ซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ภูษณมีโอกาสเรียนรู้การติดต่อกับหน่วยงานราชการหลายแห่ง

"งานหลักคือการไปขายสินค้าระบบโทรคมนาคมให้หน่วยงานรัฐ เราขายหมด กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตร องค์การโทรศัพท์ฯ การสื่อสารฯ และไปติดตั้งแม้กระทั่งกลางทะเล อย่างยูเนี่ยนออยล์" ภูษณ เล่าถึงชีวิตการทำงานที่ยูคอม

ภูษณใช้เวลา 17 ปี ไต่เต้าจากผู้จัดการฝ่ายขายพีเอบีเอ็กซ์มาเป็นรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่เป็นเบอร์ 2 ที่ยืนเคียงคู่กับบุญชัย ภารกิจของเขา มีตั้งแต่กำหนดนโยบายบริหารงาน วางโครงสร้างองค์กร แซงหน้าผู้บริหารเก่าแก่สมัยรุ่นพ่อแม่แบบไม่เห็นฝุ่น

ทั้งๆ ที่จริงแล้วชีวิตการทำงานของภูษณไม่ได้หวือหวาอะไร เพียงแต่เขาเป็นคนที่มองโอกาสที่เข้ามาได้ก่อนคนอื่นเท่านั้น

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ภูษณก้าวขึ้นเป็นเบอร์สองของยูคอมมาจากผลงานของเขาและทีมลูกน้องเก่า ได้ช่วยกันผลักดันให้ยูคอมคว้าโทรศัพท์มือถือระบบแอมป์ 800 และดิจิตอล 1800 จากการสื่อสารฯ

การคว้าสัมปทานในครั้งนั้น ส่งผลให้ยูคอมกลายเป็นพยัคฆ์ติดปีกก้าวข้ามจากบริษัทค้าอุปกรณ์โทรคมนาคมธรรมดาๆ กลายมาเป็นเจ้าของสัมปทานโทรศัพท์มือถือรายที่ 2 ของตลาดภายในชั่วข้ามปี ที่ปั่นเม็ดเงินจำนวนมหาศาล จากค่าแอร์ไทม์และจากการค้าแบบครบวงจร รวมถึงส่วนล้ำของมูลค้าหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่านับหมื่นล้านบาท

ผลงานในครั้งนี้ทำให้ภูษณกลายเป็นดาวจรัสแสงในยูคอมไปโดยปริยาย !

การคว้าสัมปทานในครั้งนั้น แน่นอนว่ามาจากสายสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างยูคอมและการสื่อสารฯ เช่นเดียวกับสายสัมพันธ์ที่ชินวัตรมีกับองค์การโทรศัพท์ฯ

ว่ากันว่า สัญญาสัมปทานที่ได้คลื่นความถี่ 1800 เมกกะเฮิรตซ์ไปทั้งย่านความถี่เกิดขึ้นบนกระดาษเพียงแค่แผ่นเดียวเท่านั้น !

แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ผลงานในครั้งนั้นมาจากสายตายาวไกลที่มองเห็น "โอกาส" ทำเงินจากธุรกิจสัมปทานโทรศัพท์มือถือแบบผูกขาดก่อนคนอื่น เช่นเดียวกับที่ดร. ทักษิณ ชินวัตร เคยมองเห็นโอกาสเหล่านี้มาแล้วจากสัมปทานโทรศัพท์เซลลูลาร์ 900 มาแล้ว

ในขณะที่บุญชัยรับผิดชอบงานบริษัทยูคอมที่ยังคงเน้นไปที่ธุรกิจการประมูลราชการอันเป็นธุรกิจดั้งเดิม แต่ภูษณรับผิดชอบบริษัทแทค ซึ่งทำธุรกิจสัมปทานโทรศัพท์มือถือเป็นธุรกิจธงนำของกลุ่มยูคอมที่ทำรายได้สูงสุด

แม้แต่ในวันที่ภูษณถอดหมวกประธานกรรมการบริหารยูคอม เพื่อกระโดดเข้าสู่เส้นทางการเมือง แต่ภูษณยังไม่ยอมถอดหมวดกรรมการผู้จัดการของแทค ซึ่งเขาให้เหตุผลว่าเป็นข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ในสิงคโปร์ที่แทคไปจดทะเบียนอยู่ที่นั่น

ที่จริงแล้วธุรกิจให้บริการโทรศัพท์มือถือจะไม่ต้องอาศัย "ฝีไม้ลายมือ" อะไรมากมาย เพราะเป็นสัมปทานผูกขาดมีเอกชนเพียง 2 รายในตลาด และระบบต่างๆ ก็ซื้อหาได้จากผู้ผลิตต่างชาติ เพียงแต่ควบคุมการวางเครือข่ายให้เป็นไปตามที่กำหนดเท่านั้น

แต่ต้องไม่ลืมว่าธุรกิจโทรคมนาคม ต้องวิ่งไล่ตามเทคโนโลยีให้ทัน และต้องคอยมองอนาคตอยู่ตลอดเวลาเพราะหากหยุดลงเมื่อใด ก็หมายถึงโอกาสที่หลุดลอยไป ที่สำคัญต้องบริหาร "คอนเนกชั่น" กับหน่วยงานรัฐให้อยู่หมัด

ภูษณไม่ได้เกิดจากตระกูลร่ำรวยที่จะใช้เป็น "สปริงบอร์ด" ดีดขึ้นสู่ความสำเร็จ สิ่งที่ภูษณจะทำได้ก็คือการสร้าง "มูลค่าเพิ่ม" ให้กับตัวเอง เขาขวนขวายหาความรู้ตลอดเวลา ทั้งจากตำรับตำราทางด้านโทรคมนาคม ด้านบริหารและการเงิน เพราะนั่นหมายถึงการเข้าถึงข้อมูลและสร้าง "วิสัยทัศน์" ในการมองธุรกิจในวันข้างหน้า

"คุณภูษณอ่านหนังสือหมดทุกอย่าง หนังสือด้านโทรคมนาคมเล่มหนาๆ สั่งมาจากต่างประเทศ สิบกว่าเล่มอ่านรวดเดียวจบ หนังสือรีเอ็นจิเนียริ่งก็อ่านหมด" แหล่งข่าวในยูคอมเล่า

ความรู้ในตำราอย่างเดียวคงไม่พอ ภูษณต่อยอดให้กับตัวเองด้วยการคว้าใบปริญญาเอก ทางด้านบริหารการเงินจากมหาวิทยาลัยซัมเมอร์เซ็ทประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นการเรียนผ่านทางไปรษณีย์ ทำให้ภูษณมีคำว่าดอกเตอร์นำหน้าชื่อไปโดยปริยาย

แต่ในบางครั้งการเรียนของภูษณก็ไม่ได้หวังเพื่อต่อยอดความรู้ แต่เพื่อสร้าง "คอนเนกชั่น" แม้จะมีปริญญามาประดับข้างฝาแล้วหลายใบ แต่ภูษณยังคงเลือกเรียนปริญญาโทที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพียงเพราะในคณะนั้นรุ่นนั้นมีบุคคลสำคัญๆ

รายชื่อนักเรียนของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร วปอ. รุ่น 39 ก็มีชื่อของภูษณ ปรีย์มาโนช พร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่นอย่างวิษณุ เครืองาม, พล.ต.ท. เฉลิมเดช ชมพูนุช, ธรรมนูญ จุลมณีโชติ รองผู้ว่าการสื่อสารฯ, พัชรินทร์ บูรณสมภพ

แม้เขาจะเรียกตัวเองเสมอว่า เป็นแค่ "ลูกจ้างมืออาชีพ" แต่ก็เป็นลูกจ้างที่ทุ่มเทให้กับบริษัทแบบสุดตัว

ในขณะที่ทุกคนนอนหลับใหล แต่ชีวิตของภูษณกลับเริ่มขึ้นตั้งแต่ตี 4 ภูษณจะนั่งรถมาทำงาน และเริ่มอ่านหนังสือไปจนถึง 6 โมงเช้า ผู้บริหารของที่นี่จึงต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษ เพราะกำหนดประชุมจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ 6 โมงเช้า หรือบางครั้งหากเร่งด่วนก็อาจนัดประชุมกันตั้งแต่ตี 5 หลังจากนั้นจะประชุมไปจนถึงเที่ยง หลังจากนั้นช่วงบ่ายหากไม่ไปติดต่องานข้างนอก ภูษณจะต้องวางแผน หรือ ร่วมประชุมกับลูกน้องไปจนถึงช่วงค่ำ

"ผมนอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม สังคมกลางคืนผมจึงขาดหายไป งานแต่งงาน งานศพ จะไม่ไปเลย ปีหนึ่งจะไปไม่ถึง 10 ครั้ง เฉพาะที่ถูกบังคับให้ไปจริงๆ เท่านั้น" ภูษณ เล่า

ภูษณมักจะเข้าประชุม และร่วมตัดสินใจในทุกๆ เรื่อง ทั้งเรื่องเล็ก และเรื่องใหญ่ แม้ว่าในช่วงหลังยูคอมจะขยายอาณาจักรออกไปมากมาย และมีการแต่งตั้งผู้บริหารมารับผิดชอบในแต่ละธุรกิจแล้วก็ตาม

จึงไม่แปลกที่จะเห็นผู้บริหารเข้าคิวรอพบภูษณอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งในวันที่ภูษณต้องไปนั่งเป็นรองเลขาธิการนายกฯ ก็ยังพบเห็นผู้บริหารของยูคอมยั้งต้องหิ้วแฟ้มมารอเข้าพบเช่นเดิม

จากการมุ่งมั่นในเรื่องงานทำให้สถานภาพทางครอบครัวของภูษณได้กลายเป็นพ่อหม้ายทั้งที่ใช้ชีวิตคู่ได้ไม่นาน

หากมองในแง่เจ้าของบริษัทกับลูกจ้างมืออาชีพแล้ว บุญชัยกับภูษณดูจะเป็นนายจ้างกับลูกจ้างที่ลงตัวที่สุด แม้ว่าอุปนิสัยใจคอ สไตล์การบริหารงานจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็ตาม

ในขณะที่บุคลิกภายนอกของบุญชัย สุขุม นอบน้อม มีนิสัยประนีประนอม รักงานศิลปะ แต่ภูษณเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ กล้าพูด ติดจะก้าวร้าวและความที่เป็นคนขวานผ่าซากของเขาต้องไปกระทบกระทั่งกับคนรอบข้าง หรือทำให้เป็นชนวนเปิดศึกท้าชนกับคู่แข่งมือถืออีกค่ายอยู่เนืองๆ

แต่เมื่อผสมผสานบุคลิกของทั้งสองคน จึงกลายเป็นความลงตัว เปรียบแล้วก็เหมือนกับไฟและน้ำที่พร้อมจะลุกลามและไหลลื่นได้ตลอดเวลา

"เมื่อคุณภูษณมีสไตล์ทำงานที่รวดเร็วและรุนแรง ผมก็จะเยือกเย็นสุขุม และใจเย็น ทำให้ทำงานร่วมกันได้" บุญชัย เบญจรงคกุล กล่าวถึงแนวทางทำงานร่วมกัน

แม้จะไม่มีวาทศิลป์ในการพูด แต่ในการเจรจาต่อรองกับหน่วยงานรัฐ ในเรื่องการต่อรองในการขอสัมปทาน หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขมักเป็นหน้าที่ของภูษณ

ไม่เท่านั้น รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อย่างภูษณยังลงมาทำหน้าที่เป็น "โฆษก" ประจำบริษัททำหน้าที่ให้ข่าวและดูด้านประชาสัมพันธ์ด้วยตัวเอง เพราะภูษณรู้ดีว่าข่าวสารที่ออกไปมีผลต่อราคาหุ้นในตลาดเพียงใด

ในวันนี้ภูษณ ได้แปรสภาพจากนักธุรกิจกลายมาเป็นนักธุรกิจการเมืองที่มีตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกรรมการบริหารพรรคความหวังใหม่ต่อท้าย นับเป็นอีกจุดพลิกผันหนึ่งในชีวิต แม้ว่าเส้นทางนี้จะเป็นแค่การเดินทางแบบชั่วคราว

ภูษณยืนยันว่า เมื่อหมดภารกิจนี้แล้ว เขาก็อาจจะกลับไปเป็นนักธุรกิจดังเดิม หรือไม่ก็เป็นอาจารย์สอนหนังสือ

"ไม่มีอะไร ชีวิตผมเรียบง่าย ผมไม่มีภาระ ไม่มีลูก" คำกล่าวสั้นๆ ที่ภูษณยืนยันถึงอนาคตของเขา

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us