Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน19 ธันวาคม 2548
กิตติรัตน์ไล่บี้3บล.ปลดประชัยขู่ขึ้นบัญชีดำบอร์ดละเว้นหน้าที่             
 


   
search resources

กิตติรัตน์ ณ ระนอง
ประชัย เลี่ยวไพรัตน์
Law




"กิตติรัตน์" จี้บอร์ด 3 บจ.ที่ไม่ปลด "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" ออกจากการเป็นกรรมการ ระวังเจอข้อหาไม่ทำหน้าที่บอร์ดมีสิทธิขึ้นบัญชีดำได้ พร้อมเรียกร้องนักลงทุนร่วมกันช่วยดูแล ตรวจสอบ ระบุไม่อยากเพิกถอนบริษัทหวั่นกระทบนักลงทุนจำนวนมาก ชี้ BUI ทำง่ายสุด เพราะไม่ใช่บริษัทฯฟื้นฟู

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่ได้มีหนังสือแจ้งต่อนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการบริษัทจดทะเบียน 3 แห่ง ประกอบ ด้วย บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TPI, บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL และบริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BUI ต้องลาออกจากการเป็นกรรมการของบริษัท เนื่องจากขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้บริหารหลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กล่าวโทษ

ทั้งนี้ แม้ว่าตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการกำหนดระยะเวลาในการที่จะต้องออกจากการเป็นกรรมการของทั้ง 3 บริษัทแต่ในช่วง ดังกล่าวนายประชัยได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อศาลล้มละลายกลาง ซึ่งภายหลังมีคำสั่งให้ไม่จำเป็นต้องออกจากการเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนเรื่องดังกล่าวก็ถือว่าเป็นหน้าที่และสิทธิในการต่อสู้ แต่กฎข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ฯก็ระบุไว้ชัดเจน แม้ว่าจะเพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงว่าผู้ที่ถูกกล่าวโทษไม่มีคุณสมบัติในการเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ทั้งในกฎข้อบังคับเดิมหรือกฎข้อบังคับใหม่ก็ได้มีการระบุในเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจน

ในส่วนของผู้บริหารหรือกรรมการของบริษัทใดที่มีหน้าที่และดำเนินการ หากพบว่าไม่มีพฤติกรรมที่จะดำเนินการให้มี การปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ อาจจะเข้าข่ายขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน และอาจจะต้องมีการคัดรายชื่อผู้บริหารกลุ่มดังกล่าวไปอยู่ในบัญชีรายชื่อผู้บริหาร ที่ไม่พึงประสงค์ของตลาดทุน เพราะทุกฝ่ายก็มีหน้าที่ของแต่ละบุคคลซึ่งก็ควรจะปฏิบัติตามหน้าที่ อย่างเต็มที่

สำหรับนักลงทุน หากไม่มีการดำเนินการอะไรแล้วทำให้บริษัทต้องถูกเพิกถอนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียน ซึ่งนักลงทุนนอกเหนือจากการลงทุนบนความเสี่ยงของราคา ยังต้องลงทุนบนความเสี่ยงของกระบวนการทำงานของผู้บริหารด้วย ซึ่งทำให้จะต้องเข้ามาร่วมดูแล ตรวจสอบการบริหารงานของบริษัทให้มีความ โปร่งใส และมีบรรษัทภิบาล

"ลาดหลักทรัพย์ฯไม่ใช่หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการพิสูจน์ความถูกผิด ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ก็คงไม่มีปัญหา แต่เมื่อเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ"นายกิตติรัตน์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นหวังว่าจะไม่ทำให้ถึงขนาดจะต้องให้บริษัทนั้นๆ ต้องไม่ได้เป็นบริษัทจดทะเบียนต่อไป เนื่องจากผลกระทบจะเกิดขึ้นกับนักลงทุนจำนวนมาก การดำเนินการในเรื่องต่างๆ ของตลาดหลักทรัพย์มีเหตุและผลเสมอ

ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯพบสัญญาณที่ดีในการดำเนินงาน ซึ่งหากยังมีสัญญาณที่ดีต่อไปในทางที่ผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามกฎข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหากเกินเวลาที่มีการกำหนดก็อาจจะเลื่อนออกไปได้

"วลามันจะหมด เมื่อผมรู้สึก ว่าไม่มีความพยายามในการดำเนิน การในทางที่ดี การที่เป็นบริษัทเล็กหรือบริษัทใหญ่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรา ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเท่าเทียม กันแน่นอน"นายกิตติรัตน์กล่าว

สำหรับการปลดนายประชัย ออกจากการเป็นผู้บริหารในบริษัทที่ไม่ได้อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ คือ BUI TPIPL นั้น ทางคณะกรรมการบริหารก็มีอำนาจในการพิจารณาปลดผู้บริหารบริษัทได้ แต่อาจจะติดขัดบางประการจึงไม่ได้ดำเนินการ ซึ่งในเรื่องดังกล่าวตลาดหลักทรัพย์ฯก็ได้รับสัญญาณ ที่ดีว่าจะได้รับความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ

ในส่วนของ TPI ผู้บริหารแผนก็มีความสามารถที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งได้พอสมควร ตามกรอบและหน้าที่ที่กฎหมายมีการกำหนดไว้

"ถ้าหากจะให้บอกว่าบริษัทไหนจะหมดเวลาก่อนก็น่าจะเป็น BUI เนื่องจากกระบวนการต่างๆ ดำเนินงานได้ง่ายกว่าและไม่มีกระบวนการฟื้นฟูกิจการ และจะถึงเวลาของบริษัทอื่นๆ เมื่อไหร่ก็คือเมื่อหมดเวลากับบริษัทแรก" นายกิตติรัตน์กล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us