ฟิลิปส์ทุ่มงบ 110 ล้านบาท รุกตลาดปีจอ เน้นกิจกรรมในร้านค้าและการโรดโชว์ พร้อมส่งสินค้าราคาถูกรุกตลาดครอบคลุมทุกเซกเมนต์ โดยไฮไลท์หลักอยู่ที่ตลาดทีวีหวังเกาะกระแสฟุตบอลโลก 2006
การแข่งขันในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมาแบรนด์ชั้นนำต้องประสบกับสงครามราคาโดยเฉพาะการเข้ามาของสินค้าจีน ซึ่งก่อนหน้านี้ค่ายเกาหลีก็เคยใช้สงครามราคาสร้างตลาดแต่ปัจจุบันได้ยุติศึกดังกล่าวแล้วหันมายกระดับตัวเองไปสู่ความเป็นแบรนด์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อสร้างมูลค่าให้กับสินค้าของตัวเอง ในขณะที่แบรนด์เนมทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นค่ายญี่ปุ่นหรือยุโรปต้องงัดกลยุทธ์ที่จะดึงลูกค้าไม่ให้หวั่นไหวไปกับราคาของคู่แข่งที่ถูกกว่า ซึ่งแนวทางหลักๆที่แบรนด์ชั้นนำส่วนใหญ่เลือกก็คือการสร้างความจงรักภักดีต่อตราสินค้า อย่างเช่นกรณีของโซนี่ที่ประสบความสำเร็จในเรื่องเทคโนโลยีจนไม่ต้องพูดเรื่องดังกล่าวก็ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคอยู่แล้ว ลูกเล่นทางการตลาดของโซนี่ส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องของ Emotional Marketing ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภครู้สึกผูกพันธ์กับแบรนด์อยากจะใช้สินค้าแบรนด์นั้นต่อไปแม้จะมีราคาแพงกว่าคู่แข่งก็ตาม แต่ถึงแม้โซนี่จะมีสาวกที่คลั่งไคล้แบรนด์มากเพียงใดก็ยังต้องมีการลอนช์สินค้าในระดับรองลงไปที่มีราคาถูกกว่า เพื่อขยายฐานลูกค้าและทำให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้สินค้าของตน ซึ่งหากเป็นที่ถูกใจก็มีโอกาสที่จะทำให้ผู้บริโภคเหล่านั้นหันมาซื้อสินค้าตัวอื่นๆต่อไป
ฟิลิปส์เองก็เป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่วางตำแหน่งทางการตลาดตัวเองเอาไว้ค่อนข้างสูง แม้จะมีเทคโนโลยีที่ไม่น้อยหน้าโซนี่แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างสาวกได้เท่าโซนี่ อีกทั้งยังต้องเผชิญสงครามราคาจากแบรนด์จีน ทำให้ฟิลิปส์ต้องหาทางเข้าถึงผู้บริโภคเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความแตกต่างของสินค้าและโน้มน้าวให้ผู้บริโภคยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อให้ได้สินค้าที่ดีกว่า ซึ่งที่ผ่านมาฟิลิปส์มีการลงทุนในเรื่องของโปรแกรมพัฒนาช่องทางจำหน่ายโดยงบการตลาดของฝ่ายคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์กว่า 100 ล้านบาท จะถูกใช้ไปกับ Total Store Management Program (TSMP) มากที่สุด โดยฟิลิปส์มีร้านค้าดีลเลอร์กว่า 80% จากทั้งหมด 500 ราย ที่ใช้ระบบ TSMP ซึ่งช่องทางดังกล่าวนี้คิดเป็นสัดส่วน 55% ของช่องทางจำหน่ายของฟิลิปส์ ส่วนที่เหลือ 45% เป็นโมเดิร์นเทรด โดยโปรแกรมดังกล่าวจะมีทั้งเรื่องของการจัดดิสเพลย์ตกแต่งหน้าร้านดึงดูดลูกค้า และการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการขายให้สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังมีการสร้างเทคโนโลยีที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของฟิลิปส์เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง อย่างเช่น พิกเซลพลัส และแอมบลิไลท์ในทีวีรุ่นไฮเอนด์
แผนการตลาดของฝ่ายคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ฟิลิปส์ในปีหน้าจะมีการเพิ่มงบการตลาดเป็น 110 ล้านบาท โดยไฮไลท์หลักจะอยู่ที่การทำกิจกรรมส่งเสริมการขายในร้าน (Instore Activity) เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าเดิมและจะมีการเพิ่มคู่ค้ารายใหม่ที่มีศักยภาพในการทำตลาดระดับกลางถึงระดับบน รวมถึงมีการเดินสายโรดโชว์ไปตามที่ต่างๆภายใต้คอนเซ็ปต์ PHILIPS at its Best เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ฟิลิปส์โดยจะมีการนำเทคโนโลยีรุ่นใหม่ๆออกมาโชว์และจำหน่ายในราคาพิเศษ ล่าสุดมีการจัดโรดโชว์ที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวโดยใช้ชื่อว่า Turn up your experience ซึ่งนอกจากจะมีการนำเทคโนโลยีรุ่นใหม่ไฮเอนด์แล้วยังมีการทำโปรโมชั่นราคาพิเศษสำหรับสินค้าบางรุ่นอย่างเช่นแอลซีดีทีวี 42 นิ้วรุ่นใหม่ที่จะนำเข้ามาทำตลาดในปีหน้าด้วยราคา 2 แสนกว่าบาท แต่จำหน่ายในงานเพียง 1.4 แสนบาท ซึ่งถือเป็นราคาที่ถูกและคุ้มค่าเมื่อเทียบกับพลาสม่าทีวีขนาดเดียวกันที่ปัจจุบันราคาตกจากแสนกว่าบาทไปอยู่ที่ระดับ 9 หมื่นกว่าบาท แม้จะมีการจำหน่ายสินค้าราคาถูกแต่ฟิลิปส์ก็ไม่มีการสื่อสารในเรื่องดังกล่าวเนื่องจากจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์
ฟิลิปส์มีการแบ่งผู้บริโภคในตลาดเมืองไทยและเอเชียเป็นกลุ่มต่างๆคือ Innovator เป็นผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ไวต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ Selective เป็นระดับรองลงมาที่ไม่เน้นเทคโนโลยีมากนักแต่สินค้านั้นต้องดูทันสมัย ใช้แล้วไม่ตกยุค เรื่องดีไซน์จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกลุ่มนี้ กลุ่มที่ 3 คือ Classical ที่เน้นในเรื่องของราคาเป็นหลัก ส่วนกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มรากหญ้าที่ไม่ได้สนใจสินค้าประเภทคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีมากถึง 50% ของตลาด ในขณะที่ Classical มี 25% และ Innovator รวมกับ Selective มีเพียง 25% เท่านั้น
ทั้งนี้แม้ว่าฟิลิปส์จะเน้นสินค้าไฮเอนด์แต่สัดส่วนรายได้จากสินค้าดังกล่าวมีเพียง 30-35% ของรายได้ฟิลิปส์เท่านั้น ดังนั้นเพื่อที่จะเพิ่มยอดขายจึงต้องขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นฟิลิปส์จึงมีการพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่ออกมาตอบสนองครบทุกความต้องการของตลาดตั้งแต่ระดับ Classical ไปถึง Innovator ซึ่งจะช่วยเติมเต็มให้กับกลยุทธ์ Experience Marketing ของฟิลิปส์
สำหรับสินค้ารุ่นใหม่ๆที่ฟิลิปส์จะนำเข้ามาทำตลาดในปีหน้ามีตั้งแต่รุ่นธรรมดาราคาถูกๆไปถึงระดับไฮเอนด์ โดยมีสินค้า 4 กลุ่มหลักคือ หมวดภาพ เครื่องเสียง ไอที และผลิตภัณฑ์สื่อสาร
ทั้งนี้ทีวีถือเป็นไฮไลท์หลักในปีหน้าเนื่องจากมีการแข่งขันฟุตบอลโลกซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ตลาดทีวีมีการเติบโตมากขึ้น ประกอบกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่นิยมทีวีจอใหญ่มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันความนิยมทีวีจอใหญ่ที่เป็นพลาสม่าทีวีมี 20,000 เครื่อง แอลซีดีทีวีมี 10,000 เครื่อง แต่แนวโน้มตลาดโลกพบว่าแอลซีดีทีวีจะแซงหน้าพลาสม่าทีวี โดยคาดว่าในปีหน้าตลาดทีวีทั้ง 2 ประเภทในเมืองไทยจะมีระดับที่ใกล้เคียงกันและแอลซีดีจะแซงหน้าพลาสม่าทีวีได้ในปีถัดไป
ฟิลิปส์มีการออกแอลซีดีทีวีรุ่นใหม่ 42 นิ้ว ราคา 349,900 บาท ซึ่งมีทั้งเทคโนโลยีพิกเซลพลัส 2 และแอมบลิไลท์ 2 ซึ่งให้ภาพที่คมชัดกว่ารุ่นธรรมดา 2 เท่า ขณะเดียวกันก็ยังมีการทำตลาดพลาสม่าทีวีเนื่องจากมีจุดเด่นในเรื่องของขนาดจอที่ใหญ่กว่าแอลซีดีทีวี โดยพลาสม่าใหญ่สุดของฟิลิปส์อยู่ที่ 50 นิ้วราคา 329,900 บาท ส่วน 42 นิ้ว มี 2 รุ่น ราคา 119,900 บาท และ 199,900 บาท ซึ่งมีความแตกต่างในเรื่องของฟีเจอร์การใช้งาน โดยราคาดังกล่าวถือว่าเป็นระดับราคาที่ใกล้เคียงกับคู่แข่ง แม้ในตลาดจะมีราคา 90,000 กว่าบาท แต่ด้วยชื่อชั้นที่เหนือกว่าก็อาจทำให้ผู้บริโภคยอมจ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้สินค้าที่ดีกว่า
"ราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเสมอไป เพราะกลุ่มที่เป็น Innovator และ Selective ซึ่งไม่ได้คำนึงเรื่องราคามีสัดส่วนมากถึงครึ่งหนึ่งของกลุ่มเป้าหมายของฟิลิปส์ ประกอบการนำเสนอสินค้าที่มีเทคโนโลยีตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการทำกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่องจะทำให้ฟิลิปส์สามารถติดอันดับ 1 ใน 3 ของผู้นำตลาดทีวีได้ไม่ยาก" ฟรองซัว บิลลีการ์ด ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ ฟิลิปส์อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) กล่าว
นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ เช่น เครื่องเสียงไร้สาย Streamium Wireless Centre ที่จุเพลงกว่า 15,500 เพลง (40 กิกะไบต์) กรอบรูปแสดงภาพดิจิตอลแอลซีดีขนาด 6.5 นิ้ว ที่สามารถอ่านสัญญาณภาพจากกล้องดิจิตอล โทรศัพท์มือถือ Xenium 9@9e ที่มีแบตเตอรี่เปิดรับสายได้นานถึง 30 วันและสนทนาต่อเนื่อง 8 ชั่วโมง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้นอกจากจะเป็นเทคโนโลยีที่แตกต่างจากคู่แข่งแล้ว การทำกิจกรรมที่เข้าถึงผู้บริโภค รวมถึงการมีสินค้าครอบคลุมทุกความต้องการของตลาดจะช่วยผลักดันให้ฟิลิปส์มีส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น หากไม่ถูกโจมตีด้วยสงครามราคาเสียก่อน
|